ศ.ดร.เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์ นักวิชาการอาวุโส มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด และประธานสถาบันการสร้างชาติ (NBI) กล่าวถึงประเด็น “ประเทศไทยจะพ้นจนได้อย่างไร” โดยมองว่า ประเทศไทยตอนนี้ กำลังประสบปัญหาในทุกด้าน ทั้งเศรษฐกิจเติบโตต่ำต่อเนื่อง นับตั้งแต่วิกฤตต้มยำกุ้งคนยากจนมาก คนเสี่ยงยากจน 24.3 ล้านคน และความเหลื่อมล้ำด้านรายได้สูง อันดับ 1 ของ East Asia & Pacific (2021) ปัญหาทั้งสาม จำเป็นต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน โดยที่จำเป็นเร่งด่วนที่สุด คือความยากจน ซึ่งถือเป็นรากฐานของปัญหาอื่นทั้งหมด จากข้อมูลสถานการณ์ความยากจนและความเหลื่อมล้ำปี 2567 โดยสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) พบว่า ประชากรที่ยากจนส่วนใหญ่เป็นแรงงานในภาคเกษตร ถึง45.49% มีระดับการศึกษาต่ำ กระจุกตัวอยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคใต้ โดยเฉพาะใน 10 จังหวัดที่มีสัดส่วนคนจนสูงสุด เช่น แม่ฮ่องสอน ยะลา ปัตตานี และนราธิวาส ปัจจัยหลักที่ผลักดันให้คนกลุ่มนี้ยังคงอยู่ในภาวะยากจนคือการขาดเงินออม ปัญหาหนี้สิน การขาดที่ดินทำกิน และการขาดทักษะอาชีพที่สร้างรายได้สูง
โดยสาเหตุหลักที่ทำให้จำนวนคนจนในประเทศไทยเพิ่มสูงขึ้น ในปี 2567 ร้อยละ 84 ของผู้มีรายได้น้อยประสบปัญหาจากการขาดเงินออม อันเป็นผลจากรายได้ที่ไม่เพียงพอกับรายจ่ายประจำ ขณะที่ร้อยละ 71 เผชิญภาระหนี้สินซึ่งกัดกร่อนความสามารถในการดำรงชีพและลงทุนเพื่ออนาคต ปัจจัยเหล่านี้รวมกันกลายเป็นวงจรความเปราะบางทางเศรษฐกิจที่ยากต่อการหลุดพ้นจากความยากจน หากไม่มีการปฏิรูปเชิงนโยบายเพื่อเสริมศักยภาพและความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประชาชนอย่างเป็นระบบ ที่ผ่านมาภาครัฐพยายามแก้ไขปัญหาความยากจนมาโดยตลอด แต่นโยบายที่นำมาใช้มีข้อจำกัดคือ
1) มาตรการที่ขาดประสิทธิภาพ เช่น นโยบายเรือธงอย่าง ‘บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ’ ของรัฐบาลคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ซึ่งถือเป็นเป็นนวัตกรรมสวัสดิการของไทยและมีเจตนาที่ดีในการสร้างฐานข้อมูลและโอนเงินช่วยเหลือโดยตรง แต่ในทางปฏิบัติกลับเกิดปัญหาการตกหล่น คนจนจริงกว่าครึ่งไม่ได้รับสิทธิ์ ขณะที่งบประมาณส่วนหนึ่งถูกจัดสรรให้แก่ผู้ที่ไม่ใช่กลุ่มเป้าหมาย
2) เน้นการสงเคราะห์เฉพาะหน้า นโยบายส่วนใหญ่ของรัฐบาลต่างๆ มักเป็นนโยบายประชานิยมที่เน้นการให้ความช่วยเหลือระยะสั้น เช่น การแจกเงิน หรือการพักชำระหนี้ ซึ่งใช้งบประมาณจำนวนมาก (ร้อยละ 78.45 ของงบแก้จนในปี 2567 เป็นต้น) แต่ไม่สามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงในระยะยาวได้
และ 3) ไม่แก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง เช่น งบประมาณปี 2567 ในส่วนที่ควรใช้ยกระดับศักยภาพทุนมนุษย์ การปรับโครงสร้างการผลิต หรือการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็น กลับมีสัดส่วนเพียงร้อยละ 21.28 ซึ่งไม่เพียงพอต่อการสร้างความสามารถในการพึ่งพาตนเองของประชาชน ซึ่งไม่เพียงเกิดขึ้นกับงบประมาณในปี 2567 แต่เป็นเช่นนี้ต่อเนื่องมาเป็นเวลายาวนาน