“สรรเพชญ” หนุนรัฐบาลเดินหน้า “คนละครึ่งพลัส” มองโครงการมีประสิทธิภาพ รัฐบาลกระตุ้นเศรษฐกิจถูกจุด ช่วยลดภาระค่าครองชีพประชาชน
ข่าวที่น่าสนใจ
19 ตุลาคม 2568 นายสรรเพชญ บุญญามณี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดสงขลา เปิดเผยภายหลังลงพื้นที่พบปะประชาชนในเขตอำเภอเมืองสงขลา ว่า ตลอดช่วงที่ผ่านมาได้ลงพื้นที่รับฟังปัญหาจากพี่น้องประชาชนอย่างต่อเนื่อง พบว่า “เศรษฐกิจปากท้อง” ยังคงเป็นประเด็นหลักที่ส่งผลกระทบต่อครัวเรือนมากที่สุด โดยประชาชนส่วนใหญ่สะท้อนตรงกันว่า รายจ่ายเพิ่มขึ้นแต่รายได้เท่าเดิม ทำให้หลายครอบครัวต้องประคับประคองการใช้จ่ายอย่างยากลำบาก
นายสรรเพชญ กล่าวว่า โครงการ “คนละครึ่งพลัส” เป็นหนึ่งในมาตรการที่ได้รับเสียงตอบรับจากประชาชนในเชิงบวก เพราะสามารถกระตุ้นการหมุนเวียนของเงินในระบบเศรษฐกิจได้อย่างเป็นรูปธรรม เงินที่รัฐอัดฉีดลงไปถึงทั้งผู้ค้าและผู้บริโภคโดยตรง พร้อมช่วยลดภาระค่าครองชีพของประชาชนได้จริง โดยส่วนตัวมองว่า มาตรการลักษณะนี้มีประสิทธิภาพเชิงเศรษฐกิจระยะสั้นดีกว่าการแจกเงินแบบครั้งเดียว เพราะช่วยสร้างแรงกระตุ้นให้เกิดการใช้จ่ายต่อเนื่อง และส่งผลดีต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจในระดับฐานรากอย่างทั่วถึง
อย่างไรก็ตาม ปัญหาที่พบในระยะเริ่มต้นของการดำเนินโครงการ คือ ขั้นตอนการลงทะเบียนและยืนยันตัวตนที่ยังไม่สะดวก โดยเฉพาะกลุ่มผู้สูงอายุซึ่งต้องเดินทางไปธนาคารเพื่อยืนยันตัวตน ทำให้เกิดความยุ่งยากและล่าช้าในการเข้ารับสิทธิ์ นายสรรเพชญ จึงเสนอให้รัฐบาลเร่งหาแนวทางปรับปรุงระบบ เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับประชาชนทุกกลุ่ม โดยเฉพาะผู้สูงอายุและผู้ที่เข้าถึงเทคโนโลยีได้ยาก
สำหรับโครงการ “คนละครึ่งพลัส” รอบใหม่นี้ รัฐบาลจะเปิดให้ลงทะเบียนระหว่างวันที่ 20 – 26 ตุลาคม 2568 และสามารถเริ่มใช้จ่ายได้ตั้งแต่วันที่ 29 ตุลาคม – 31 ธันวาคม 2568 ผ่านแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” โดยมีการ ปรับเพิ่มวงเงินการใช้จ่ายเป็น 200 บาทต่อวัน พร้อม ขยายฐานอายุผู้มีสิทธิ์เข้าร่วมเป็นตั้งแต่ 16 ปีขึ้นไป รวมถึงเพิ่ม สิทธิพิเศษสำหรับผู้ยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ให้ได้รับวงเงินเพิ่มขึ้นตามเกณฑ์ เพื่อกระตุ้นการบริโภคและส่งเสริมการเสียภาษีอย่างถูกต้อง
ในเชิงเศรษฐกิจมหภาค นายสรรเพชญมองว่า การบริโภคภาคครัวเรือนยังคงเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของเศรษฐกิจไทยในช่วงที่ภาคการส่งออกและการลงทุนภาคเอกชนยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ มาตรการอย่าง “คนละครึ่งพลัส” จึงถือเป็นเครื่องมือที่ช่วยเสริมความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและพยุงกำลังซื้อของครัวเรือนได้อย่างเหมาะสม ทั้งยังเป็นการกระจายรายได้สู่ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ให้มีรายได้หมุนเวียนเพิ่มขึ้น ซึ่งจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจโดยรวมในระยะต่อเนื่อง
ทั้งนี้ จากการแถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรีต่อรัฐสภา โครงการ “คนละครึ่งพลัส” จะใช้งบประมาณจากเงินกระตุ้นเศรษฐกิจที่เหลืออยู่ในปีงบประมาณ 2568 ประมาณ 22,400 ล้านบาท และใช้งบประมาณปี 2569 อีกราว 44,000 ล้านบาท เพื่อผลักดันเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจฐานรากและพยุงกำลังซื้อของประชาชนในช่วงปลายปี
นายสรรเพชญ กล่าวทิ้งท้ายว่า ประชาชนส่วนใหญ่ในพื้นที่อยากให้รัฐบาลพิจารณาขยายระยะเวลาโครงการออกไปถึงช่วงหลังปีใหม่ เพื่อให้ครอบคลุมเทศกาลจับจ่ายและท่องเที่ยวในต้นปี 2569 ซึ่งจะช่วยให้มาตรการนี้ส่งผลทางเศรษฐกิจได้อย่างต่อเนื่อง พร้อมย้ำว่าการช่วยลดภาระค่าครองชีพและกระตุ้นการใช้จ่ายของประชาชน คือรากฐานสำคัญในการฟื้นฟูเศรษฐกิจฐานรากของประเทศอย่างยั่งยืน
ข่าวที่เกี่ยวข้อง