นายอลงกรณ์ พลบุตร
ประธานสถาบันเอฟเคไอไอ.
ประธานมูลนิธิเวิลด์วิว ไคลเมท
รองประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรคประชาธิปัตย์
อดีตประธานที่ปรึกษารัฐมนตรีกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
บรรยายเรื่อง“เส้นทางสู่บราซิลCOP30
: จาก”คำมั่น“สู่”การปฏิบัติ“(From Pledge to Implementation)รับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแบบสุดขั้วของไทยและอาเซียน”ในการประชุมสัมมนาที่กรุงกูชิงรัฐซาราวักประเทศมาเลเซียตามคำเชิญของกระทรวงพลังงานและสิ่งแวดล้อมยั่งยืนและPwC(PricewaterhouseCoopers)
โดยมีผู้แทนภาครัฐภาคเอกชนและเครือข่ายสิ่งแวดล้อมจากประเทศต่างๆรวมทั้งธนาคารโลกกว่า300คนเข้าร่วมเมื่อเร็วๆนี้เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการประชุมว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งสหประชาชาติ ครั้งที่ 30 ที่จะจัดขึ้นที่เมืองเบเลงปากแม่น้ำอเมซอนประเทศบราซิล ระหว่างวันที่ 10 ถึง 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568โดยมีเนื้อหาสาระถอดความจากภาษาอังกฤษดังนี้
“เส้นทางสู่บราซิลCOP30
: จาก”คำมั่น“สู่”การปฏิบัติ“รับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแบบสุดขั้วของไทยและอาเซียน”
โดย นายอลงกรณ์ พลบุตร
ประธานสถาบันเอฟเคไอไอ.
ประธานมูลนิธิเวิลด์วิว ไคลเมท
อดีตประธานที่ปรึกษารัฐมนตรีกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
“การประชุม COP30 ณ เมืองเบเลง(Belém)ประเทศบราซิลในเดือนพฤศจิกายนปีนี้กลายเป็นหมุดหมายสำคัญที่โลกจะต้องพิสูจน์ว่าเราได้ก้าวข้ามจากยุคแห่ง ‘คำมั่นสัญญา’ สู่ยุคแห่ง ‘การปฏิบัติการ’ ที่เป็นรูปธรรมแล้วจริงหรือไม่
สำหรับประเทศไทย เราไม่ได้รอคอยแต่กำลังเร่งมือการดำเนินงานอย่างเต็มที่เพื่อเปลี่ยนเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนและการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ให้กลายเป็นจริง
เป้าหมายใหม่ที่ชัดเจนแชะท้าทาย
เดิมประเทศไทยได้กำหนดเป้าหมายที่ท้าทายและมีความก้าวหน้าอย่างต่อเนื่อง โดยมีเป้าหมายหลักสองเสาหลัก
1.ความเป็นกลางทางคาร์บอน ภายในปี 2050 ซึ่งเป็นเป้าหมายระยะกลางที่เร่งการสร้างสมดุลระหว่างการปล่อยและดูดซับคาร์บอน
2.การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2065 ซึ่งเป็นเป้าหมายสูงสุดของประเทศตามยุทธศาสตร์ระยะยาว
ล่าสุด กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม (กรมลดโลกร้อน) กำหนดภารกิจสำคัญที่ไทยเตรียมนำไปสื่อสารที่ COP30 คือการปรับปรุงเป้าหมายการมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนด (NDC) ฉบับที่ 3.0 สำหรับปี 2035 (พ.ศ. 2578) ซึ่งเป็นปีที่ทุกประเทศภายใต้กรอบอนุสัญญาฯ ต้องส่งเป้าหมายเดียวกัน
“ภายใต้ NDC 3.0 นี้ ไทยจะลดก๊าซเรือนกระจกแบบเด็ดขาด (Absolute emission reduction) ตั้งเป้าลดลง 109.2 ล้านตัน จากการปล่อยจริง โดยเทียบกับปีฐาน 2019 ซึ่งในปี 2019 ไทยมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอยู่ที่ 379 ล้านตัน เมื่อรวมการลดก๊าซและการเพิ่มการดูดกลับจากภาคป่าไม้ (ทั้งป่าธรรมชาติและป่าเศรษฐกิจ) จาก 107 ล้านตัน ให้เป็น 118 ล้านตัน จะทำให้การปล่อยก๊าซสุทธิ (Net emission) ของไทยอยู่ที่ 152 ล้านตัน ตัวเลขนี้ จะสอดคล้องกับเป้าหมายใหม่ ที่จะปล่อยก๊าซสุทธิเป็นศูนย์ในปี 2050 ซึ่งเป็นการขยับเป้าหมายให้เร็วขึ้น 15 ปี จากเป้าหมายเดิมในปี 2065
เป้านี้แสดงให้เห็นถึงความตั้งใจจริงที่เดินหน้างานหนักเบื้องหน้า (Front-load)ของการดำเนินการภายในทศวรรษนี้ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่สำคัญที่สุด