“พิพัฒน์” โชว์วิสัยทัศน์ พัฒนาคมนาคมไทย เร่ง 4 เดือน ผลักดันรถไฟรางคู่-ลดค่ารถไฟฟ้า 40 บาท-เปลี่ยนเมล์ร้อนสู่แอร์ราคาถูก ช่วยค่าครองชีพปชช.

“พิพัฒน์” ลั่นขอทำงานเพื่อผลประโยชน์พี่น้องประชาชนแม้มีระยะเวลาแค่ 4 เดือน เดินหน้าชูภารกิจกระจายรายได้ส่งเม็ดเงินให้หมุนเวียนในระบบ ศก.ในประเทศ พร้อมเดินหน้าลดค่าครองชีพคนไทยผ่านขนส่งมวลชนทุกระบบทั่วประเทศ ทั้งเดินเครื่องรถไฟฟ้า 40 บาท-ระบบตั๋วร่วม-รถปรับอากาศ EV -พัฒนา บขส. แย้มภูมิใจไทยเร่งร่างนโนยาย ศก. แต่ละภาคให้เหมาะสม

“พิพัฒน์” โชว์วิสัยทัศน์ พัฒนาคมนาคมไทย เร่ง 4 เดือน ผลักดันรถไฟรางคู่-ลดค่ารถไฟฟ้า 40 บาท-เปลี่ยนเมล์ร้อนสู่แอร์ราคาถูก ช่วยค่าครองชีพปชช. – Top News รายงาน

 

พิพัฒน์

 

 

เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2568 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ให้สัมภาษณ์พิเศษคณะผู้บริหาร “ท็อปนิวส์” นำโดย นายฉัตรชัย ภู่โคกหวาย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ท็อปนิวส์ ดิจิตัล มีเดีย จำกัดที่เข้าแสดงความยินดีในโอกาสเข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 3 ตุลาคมที่ผ่านมา โดยนายพิพัฒน์ ให้สัมภาษณ์ถึงเป้าหมายการทำงานในนโยบาย และโครงการต่าง ๆ ของกระทรวงคมนาคมและพรรคภูมิใจไทยว่า รัฐบาลและพรรคร่วมรัฐบาล ซึ่งเป็นเสียงข้างน้อยจะพยายามทำงานให้เร็วและดีที่สุด และสิ่งสำคัญที่สุดคือปัญหาเรื่องปากท้อง รวมถึงการแก้ไขปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่ต้องพยายามทำให้สำเร็จภายใน 4 เดือนนี้ ให้ได้ ทั้งนี้แม้จะมีเวลาทำงานเพียงแค่ 4 เดือนสั้น ๆ แต่มองว่า สามารถช่วยพี่น้องประชาชนและประเทศชาติได้ ด้วยการเร่งผลักดันโครงการที่มีอยู่ในแผนงานเดิม อาทิ รถไฟรางคู่ ฯ เพื่อให้เกิดการจ้างงานกระจายรายได้ ส่งเม็ดเงินให้หมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจของประเทศ โดยสิ่งนี้ถือเป็นภารกิจแรก ที่จะช่วยดันตัวเลขจีดีพีในภาพรวมได้

ส่วนภารกิจที่สอง คือการช่วยลดค่าครองชีพให้กับพี่น้องประชาชนในโครงการด้านการขนส่งมวลชนทางรถ และทางราง โดยเฉพาะการเดินหน้านโยบายรถไฟฟ้าตลอดวัน 40 บาท ที่เชื่อว่า จะมีความเป็นไปได้มากกว่ารถไฟฟ้า 20 บาทของพรรคเพื่อไทยที่รัฐบาลต้องใช้งบประมาณจำนวนมากไปชดเชยให้ภาคเอกชนที่เสียรายได้ แต่ถ้าหากลดลงเหลือ 40 บาทมองว่า เป็นราคาที่คนไทยรับได้ ซึ่งรายได้จากจำนวนผู้โดยสารที่เพิ่มขึ้นจะไปชดเชยกับค่าโดยสารที่ลดลง โดยวิธีนี้จะไม่ส่งผลกระทบกับวินัยการเงินการคลังด้วย และคาดว่าภายไตรมาสสุดท้ายนี้จะได้ข้อสรุป

นายพิพิฒน์ กล่าวต่อว่า นอกจากนี้กำลังสั่งการให้ตั้งคณะทำงานมาศึกษาการใช้ตั๋วร่วมโดยมีต้นแบบจากระบบการเดินทางในกรุงลอนดอนที่ถือบัตรเพียงใบเดียวสามารถโดยสารทั้ง รถไฟ และรถบัสแบบไม่จำกัดจำนวนครั้ง ทำให้สามารถกำหนดการจ่ายได้ตามการเดินทาง แต่สูงสุดจะไม่เกินเพดานที่กำหนด โดย พ.ร.บ. ตั๋วร่วมกำลังอยู่ในขั้นตอนของวุฒิสภาฯ หากไม่มีการแก้ไขมากเชื่อว่า สภาฯ จะสามารถเดินหน้าได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งจะทำให้ค่ารถไฟฟ้าถูกลงอย่างมีนัยยะสำคัญด้วย

 

ข่าวที่น่าสนใจ

นายพัฒน์ กล่าวต่อว่า ในส่วนราคาค่าโดยสารรถเมล์ ขสมก. ขณะนี้กำลังเร่งศึกษาราคาที่เหมาะสม เนื่องจากในเดือนตุลาคมนี้อยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่กำลังเปลี่ยนผ่านมาใช้รถปรับอากาศพลังงานไฟฟ้า (EV) จำนวน 1,520 คัน มูลค่า 1.5 หมื่นล้านบาทมาใช้แทนรถเมล์ร้อน ซึ่งกำลังอยู่ในขั้นตอนเปิด TOR และจะเริ่มประมูลในเดือนนี้ทันที โดยคาดว่าจะทยอยส่งมอบรถเมล์ใหม่ให้ใช้ได้ต้นปีหน้า โดยปัจจุบันเรามียังมีรถแอร์ที่ใช้อยู่ประมาณ 1,363 คัน ซึ่งได้สั่งการให้ไปดูว่าคันไหนที่มีอายุใช้เงินเกิน 20 ปีต้องทยอยออกไป จากนั้นค่อยมาศึกษาภาพรวมว่าปัจจุบันเราใช้รของขสมกทั้งหมอประมาณกว่า 2,800 คัน และกำลังจัดหารถคันใหม่ประมาณ 1,520 คัน จึงต้องมาดูว่าจำนวนเท่านี้สามารถทดแทนรถที่มีอยู่หรือไม่ ถ้าไม่พอก็ต้องจัดซื้อใหม่ แต่ต้องไม่ถึง 2,800 คัน คืออาจจะเพิ่มมาอีก 500 คัน เป็น 2,000 คัน และเมื่อได้รถใหม่ก็อาจจะใช้ระบบหมุนเวียนคนขับให้เป็นกะ ๆ ไป ซึ่งตรงนี้จะเป็นการประหยัดงบประมาณให้ ขสมก.

รมว.คมนาคม กล่าวต่อว่า ปัจจุบันประชาชนจ่ายค่าโดยสารรถเมล์ร้อนอยู่ที่ 8 บาท ส่วนอัตราค่าโดยสารรถเมล์ปรับอากาศอยู่ที่ 15 -25 บาท ซึ่งตรงนี้เราจึงมาคิดต่อว่า ราคาที่เหมะสมในการให้ผู้มีรายได้น้อยเข้าถึงบริการขนส่งมวลชนอยู่ตรงไหน โดยพรรคภูมิใจไทยได้ทำเรื่องนี้มาตลอด และคิดว่า จะเสร็จทันก่อนระบบราง แต่ต้องเข้าใจว่า เมื่อมีการเปลี่ยนราคาต้องเกิดคำถามจากประชาชนที่เคยจ่ายอยู่ 8 บาทว่า ทำไมเขาต้องมาจ่ายเพิ่ม ซึ่งได้มอบหมายให้ปลัดกระทรวงคมนาคมไปคิดต่อโดยร่วมกับกระทรวงการคลังในการหาราคาที่เหมะสมว่า จะเป็นเท่าไหร่ และในส่วนที่เกิน 8 บาท รัฐบาลจะอุดหนุนส่วนที่เกินในทางใดทางหนึ่งได้เท่าใด เพื่อช่วยลดภาระผู้มีรายได้น้อยให้ได้ใช้บริการระบบขนส่งมวลชนที่ดีกว่า

เมื่อถามว่าอาจมีการตั้งคำถามว่ากระทรวงคมนาคมมุ่งเน้นแต่ระบบขนส่งในกรุงเทพมหานครแล้วในส่วนของระบบขนส่ง บขส. รวมถึงการให้บริการประชาชนในต่างจังหวัดมีการปรับปรุงอะไรหรือไม่ นายพิพัฒน์ กล่าวว่า กระทรวงคมนาคมพัฒนาระบบขนส่งมวลชนให้ครอบคลุมทั้งประเทศ โดยเฉพาะระบบรางคู่ต้องพัฒนาให้ได้ทุกภาคโดยสายเหนือต้องไปถึงเชียงใหม่ ส่วนอีสานต้องไปถึงหนองคาย ขณะที่สายใต้ต้องไปถึงหาดใหญ่ และจะทำอย่างไรให้ไปถึงชุมพร สุราษฎร์ธานี และเป็นไปได้หรือไม่ที่จะให้ไปถึงมาเลเซีย ส่วนการพัฒนาระบบรถทัวร์ และบขส. ขณะนี้กำลังหารือกันว่า จะพัฒนาอย่างไร โดยจะมุ่งเน้นในเรื่องสวัสดิการให้กับผู้โดยสารระหว่างที่ระบบรางยังไม่สมบูรณ์ ซึ่งในส่วนนี้อยู่ในเป้าหมายที่กำหนดไว้ในการพัฒนาระบบขนส่ง บขส. และเชื่อว่า ภายใน 4 เดือนจะสามารถทำได้สำเร็จ และนี่จะเป็นคำตอบให้พี่น้องประชาชนที่อยู่ในภาคต่าง ๆ เห็นว่า ท่านจะได้ประโยชน์อะไรจากรัฐบาลของนายกฯอนุทิน ชาญวีรกูล

นายพิพัฒน์ ยังกล่าวถึงความตั้งใจในสมัยดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานที่ต้องการผลักดันกฎหมายช่วยลูกจ้างที่เดือดร้อนจากการถูกเลิกจ้างโดยไม่ได้รับค่าชดเชยที่เป็นธรรม ซึ่งกฎหมายนี้กำลังเตรียมจะเข้า ครม. แต่มีเหตุทำให้ต้องออกจากรัฐบาลไปเสียก่อนว่า กฎหมายนี้จะช่วยกรณีที่มีการปิดกิจการ และเลิกจ้างโดยไม่จ่ายค่าชดเชยตามกฎหมาย ซึ่งเดิมทีลูกจ้างต้องไปฟ้องต่อศาลแรงงานกันเอง และอาจใช้เวลานาน ซึ่งมาตรการนี้จะให้กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานเป็นเจ้าภาพฟ้องนายจ้างแทนให้ อีกทั้งยังขอให้ศาลแรงงานสั่งห้ามโยกย้ายทรัพย์สิน พร้อมประสานกับธนาคาร และสถาบันการเงิน เพื่อตรวจสอบธุรกรรมของนายจ้างที่อาจเป็นการโยกย้ายทรัพย์สินโดยเจตนาด้วย จากนั้นจะประสานกับกระทรวงยุติธรรมและกรมบังคับคดีเพื่ออายัดทรัพย์

 

 

“ที่สำคัญทางสำนักงานประกันสังคมยังเพิ่มเงินทดแทนอัตราใหม่ เป็นร้อยละ 60 ของค่าจ้างรายวัน จากเดิม ร้อยละ 50 สูงสุดไม่เกินเดือนละ 9,000 บาท เป็นระยะเวลาไม่เกิน 180 วัน เพื่อช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของลูกจ้างหลังถูกนายจ้างเลิกจ้างให้ได้รับเงินก้อนสุดท้ายเพื่อใช้ในการดำรงชีวิตเพิ่มขึ้นได้นั่นเอง ซึ่งที่ผ่านมาได้ขออนุมัติงบกลางเพื่อช่วยเยียวยาผู้ถูกเลิกจ้างไปแล้วหลายบริษัท ทั้งหมดนี้คือความตั้งใจเมื่อครั้งทำงานอยู่กระทรวงแรงงาน จึงอยากฝากรัฐมนตรีท่านใหม่ ให้ผลักดันเรื่องนี้ต่อ เพราะการทำประโยชน์ให้กับพี่น้องประชาชน นี่แหละก็คือการหาเสียงที่ดีที่สุด ถึงมีเวลาแค่ 4 เดือนก็จะทำให้เต็มที่ ” นายพิพัฒน์ กล่าว

เมื่อถามว่าการเลือกตั้งครั้งหน้าพรรคภูมิใจไทยจะมีนโยบายอะไรที่จะผลักดันในพื้นที่ภาคใต้บ้าง นายพิพัฒน์ กล่าวว่า ขณะนี้ทางคณะกรรมการบริหารพรรค อยู่ระหว่างร่างนโยบายของแต่ละภูมิภาค โดยเฉพาะในเรื่องของเศรษฐกิจก็จะมีความแตกต่างกันไปแต่ละภูมิภาค เช่น พื้นที่ภาคใต้ก็จะมีเรื่องของยางพารา ปาล์ม และผลไม้ตามฤดูกาล ส่วนภาคกลาง และภาคอีสานจะมีเรื่องของข้าว แต่ภาคอีสานจะเน้นในเรื่องของมันสำปะหลัง และอ้อย รวมถึงในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล จะนำเสนอนโยบายอย่างไรก็ต้องขึ้นอยู่กับคณะกรรมการบริหารพรรค ซึ่งเราคงไม่ได้ประกาศในภาพรวมว่าเศรษฐกิจของไทยในการเลือกตั้งครั้งต่อไปจะเป็นลักษณะเหมาเข่ง

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ข่าวล่าสุด

“ทิดจอร์จ” ร่อนจดหมายเปิดผนึกจากเรือนจำ ดีใจมีศิษย์มาเยี่ยม ลั่นขอยืนหยัดสู้ทุกลมหายใจ คดียักยอกเงินบริจาค
ชาวแม่สะเรียง พร้อมครอบครัว ร่วมทำบุญตักบาตร ประเพณีออกหว่า
สำนักงานประกันสังคมชี้แจงข้อสงสัยกรณีที่ปรึกษาด้านการลงทุนกองทุนประกันสังคม ย้ำ บริหารอย่างรัดกุม เพื่อประโยชน์สูงสุดผู้ประกันตน
พล.ต.ต.เมฒาวิศ ประดิษฐ์ผล นำช่อดอกไม้ แสดงความยินดี แก่ พล.ต.ต.พงศ์พันธ์ วงษ์มณีเทศ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดชลบุรี คนใหม่
ปทุมธานี กำนันคลองควายลุยน้ำท่วมทำCPR ช่วยหนุ่มใหญ่ป่วยพาร์กินสันหมดสตินำส่งรพ.
นายกฯยื่นคำขาด ลั่น "กัมพูชา" ต้องทำตามเงื่อนไข GBC แบ่งอำนาจจนท.แล้ว ขีดเส้นตาย 10 ต.ค.นี้ ต้องย้ายพ้นบ้านหนองจาน

ดู LIVE รายการ

เราใช้ คุ้กกี้ เพื่อให้ทุกคนได้ประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น​