เศรษฐกิจสีเขียวสู่โอกาสใหม่ประเทศไทยภายใต้โลกเดือด ในมุมมองของ อลงกรณ์-เอฟเคไอไอ

นายอลงกรณ์ พลบุตร ประธานสถาบันเอฟเคไอไอ.ไทยแลนด์ ประธานมูลนิธิ Worldview Climate Foundation บรรยายพิเศษในงานFarm Expo 2025
ที่อิมแพค เมืองทองฯ.เมื่อเร็วๆนี้ในหัวข้อ เศรษฐกิจสีเขียว: พลิกฟื้นธุรกิจไทย ท่ามกลางโลกใหม่ที่เดือดระอุ เป็นเรื่องที่น่าสนใจในการสร้างระบบเศรษฐกิจสีเขียวเพื่อเผชิญกับบริบทโลกใหม่ตอบโจทย์อนาคตของธุรกิจไทยในมุมของโอกาสและความท้าทายโดยมีเนื้อหาดังนี้ โลกใหม่: วิกฤตภูมิอากาศและเศรษฐกิจที่ท้าทาย วิกฤตภูมิอากาศได้กลายเป็นความเสี่ยงทางเศรษฐกิจที่สำคัญที่สุด และได้สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจทั่วโลกไปแล้วเกือบ 4.2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐระหว่าง ปี 1993-2022
นายอันโตนิโอ กูเตร์เรส เลขาธิการสหประชาชาติ ประกาศว่า “ยุคของโลกร้อนได้สิ้นสุดลงแล้ว และยุคของโลกเดือดได้เริ่มต้นขึ้น” เป็นเครื่องย้ำเตือนถึงภัยคุกคามที่เร่งด่วนที่สุด นายชูตงหยู (Qu Dongyu) ผู้อำนวยการองค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ(FAO) ได้กล่าวเตือนอย่างชัดเจนว่า “ความเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศเป็น ตัวขับเคลื่อนความอดอยากที่สำคัญที่สุดในปัจจุบัน“ วิกฤตนี้กำลังทำลายผลผลิตทางการเกษตรและแหล่งน้ำ ทำให้ความมั่นคงทางอาหารของโลกตกอยู่ในความเสี่ยง ทุกประเทศทุกครัวเรือนได้รับผลกระทบจากสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงในปัจจุบันแบบสุดขั้ว(Extreme climate change)
ในส่วนของประเทศไทยกำลังเผชิญกับพายุลูกใหญ่2ลูกได้แก่ระบบเศรษฐกิจที่อ่อนแอหมดกำลังโตต่ำโตช้าและขีดความสามารถในการแข่งขันที่ถดถอย การจัดอันดับของ IMD ปีล่าสุด ไทยอยู่อันดับที่ 30 จาก 64 เขตเศรษฐกิจ ลดลง 5 อันดับ จากปีก่อน โดยเฉพาะด้านประสิทธิภาพของภาครัฐที่ลดลงถึง 8 อันดับมาอยู่ที่อันดับ 32 ประสบปัญหางบประมาณขาดดุลติดต่อกันถึง 19 ปี และมีหนี้สาธารณะที่พุ่งสูงอย่างรวดเร็วขณะที่หนี้ครัวเรือนยังคงสูงเป็นประวัติการณ์ ประมาณ 90% ของ GDP และการเผชิญกับมาตรการภาษีคาร์บอนระหว่างประเทศเพราะไทยปล่อย GHGประมาณ 280.73 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (MtCO2eq) คิดเป็นประมาณ 0.7% ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งโลกจึงกำหนดเป้าหมายการเป็น Net Zero ของประเทศไทยตั้งเป้าลดก๊าซเรือนกระจก120 ล้านตันภายในปี2065
นี่คือภาพรวมของกับดักความท้าทายที่เราต้องก้าวข้ามพร้อมกับเผชิญกับโจทย์ใหม่จากภัยคุกคามของโลกเดือดและการแสวงหาเครื่องยนต์เศรษฐกิจตัวใหม่ที่แข็งแกร่งและยั่งยืนมาขับเคลื่อนประเทศให้ก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างมีอนาคต

ดังนั้น การเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) จึงไม่ใช่แค่การรักษาสิ่งแวดล้อม แต่คือความจำเป็นเร่งด่วนและเป็น “กลไกขับเคลื่อนการเติบโตใหม่” เพื่อพลิกฟื้นประเทศและสร้างความมั่งคั่ง มั่นคง และยั่งยืน
เพราะนี่คือโอกาสที่มูลค่าเศรษฐกินสีเขียวของโลกสูงถึง 10.3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 300 ล้านล้านบาท ภายในปี ค.ศ. 2050 และกองทุนระหว่างประเทศก็ให้คำมั่นจะลงทุนกว่า 130 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐในธุรกิจที่คำนึงถึง ESG(Environmental-Social-Governance) ในขณะที่ธนาคารพาณิชย์ของไทยตั้งเป้าปล่อยสินเชื่อสีเขียวรวมกันสูงเกือบ 5 แสนล้านบาทเพื่อรับมือกับความท้าทายของโลกใหม่ที่ถูกกำกับด้วยกฎสีเขียว (Green Regulation)ซึ่งคือบริบทใหม่ของกฎหมายและการเงินระหว่างประเทศที่ใช้สิ่งแวดล้อมเป็นเงื่อนไขในการค้าและการลงทุน
เศรษฐกิจสีเขียวจึงเป็นหนึ่งในแนวทางการพัฒนาของโลกในศตวรรษที่ 21 ที่คำนึงถึงความสำคัญของสิ่งแวดล้อมเพื่อสร้างให้เกิด “การเติบโตสีเขียว”Green Growth)การใช้ทรัพยากรที่เหมาะสมและรู้คุณค่า ลดการใช้พลังงานฟอสซิล ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก(GHG-Green House Gas)ลดความเสี่ยงที่จะทำให้สิ่งแวดล้อมเสียหาย และตอบสนองการพัฒนาที่ยั่งยืน
ในบริบทประเทศไทยนั้นเศรษฐกิจสีเขียวอย่างน้อยวางอยู่บน 4 เสาหลักได้แก่
1. เทคโนโลยีเกษตรและอาหารแห่งอนาคต
MarketsandMarketsรายงานว่าตลาดเทคโนโลยีเกษตร(Agri-Tech)ทั่วโลกมีมูลค่า 22,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2024 และคาดว่าจะเติบโตถึง 50,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี 2030
ในขณะที่การใช้โดรนทางการเกษตรในไทยเพิ่มขึ้น 300% ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาซึ่งเป็นรายงานของกรมส่งเสริมการเกษตรสะท้อนถึงโอกาสในการพัฒนาเทคโนโลยีเกษตรสู่ตลาดโลกและการยกระดับการผลิตด้วยเครื่องมือสมัยใหม่ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
ส่วนอาหารแห่งอนาคต(Future Food)นั้นเป็นเกษตรทางเลือกใหม่ลดโลกร้อนในการแปรรูปเพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตรเป็นอาหาร อาหารเสริม Functional food อาหารสัตว์ เวชสำอางค์ เภสัชภัณฑ์ และน้ำมันชีวภาพตอบโจทย์
เทรนด์ของโลกยุคNext Normalที่สนใจสุขภาพมากขึ้นหลังจากเกิดโควิดแพร่ระบาดไปทั่วโลก(Covid Pandemic)ได้แก่ โปรตีนจากแมลง(Edible Inseat base Protein) โปรตีนจากพืช(Plant base Protein)เช่น ผำ เห็ด ถั่วเหลืองถั่วเขียว แหนแดง ฯลฯโดยเฉพาะสาหร่ายเป็นพืชแห่งอนาคตที่ช่วยลดโลกร้อนซึ่งมูลนิธิเวิลด์วิวไครเมท(WCF:Worldview Climate Foundation)ที่ผมเป็นประธานกำลังส่งเสริมร่วมกับกรมประมงและสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำเป็นส่วนหนึ่งของโครงการBlue Carbonในช่วง5ปีที่ผ่านมาจนมีผลิตภัณฑ์จากการแปรรูปสาหร่ายวางจำหน่ายในซูเปอร์มาร์เก็ตหลายแห่งโดยบริษัทสตาร์ทอัพภายใต้การสนับสนุนของมูลนิธิเวิลด์วิว อินเตอร์เนชั่นแนล(WIF:Worldview International)และWCF
กระทรวงพาณิชย์รายงานสถานการณ์การส่งออกอาหาร Functional Food ของไทยมีมูลค่า 3.5 แสนล้านบาท ในปี 2024 และเติบโต 15% ต่อปี

 

ข่าวที่น่าสนใจ

ดังนั้นภาคเกษตรต้องเปลี่ยนบทบาทเป็นผู้ให้บริการด้านสภาพภูมิอากาศ (Climate Service Provider) เพื่อสร้างรายได้เสริมจากตลาดคาร์บอนเครดิต
2. พลังงานหมุนเวียนและไฮโดรเจน
ประเทศไทยตั้งเป้าหมายผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน 50% ภายในปี 2037 ส่งผลให้ตลาดพลังงานแสงอาทิตย์ในไทยเติบโตขึ้น 40% ต่อปี
นอกจากนี้ยังมีการผลิตพลังงานหมุนเวียนประเภทเชื้อเพลิงชีวภาพ(Bio-Fuel)เช่น น้ำมันเครื่องบินชีวภาพ (SAF:Sustainable Aviation Fuel) รวมถึงเอทานอลและใบโอดีเซลแปรรูปจากเช่น อ้อย มันสำปะหลังและปาล์มน้ำมันมาอย่างยาวนาน เนื่องจากสามารถช่วยลดการปล่อยคาร์บอนได้อย่างมีนัยสำคัญซึ่งมูลนิธิสถาบันพลังงานทางเลือกแห่งประเทศไทยที่ผมก่อตั้งได้สนับสนุนส่งเสริมมากว่า25ปี
ทางด้านไฮโดรเจนก็เป็นอีกหนึ่งพลังงานทางเลือกที่สำคัญ ในการมุ่งสู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน ซึ่งมีปริมาณมากมาย เช่น ในน้ำ (H2O)
3. การท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนเชิงสุขภาพเชิงธรรมชาติ(Low carbon Tourism)
ตลาดการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพโลกมีมูลค่า 919,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2024 ซึ่งเป็นรายงานของGlobal Wellness Institute)
การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยรายงานว่าการท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติในไทยสร้างรายได้ 120,000 ล้านบาท ในปี 2024
และจำนวนที่พัก Eco-Friendly ในไทยเพิ่มขึ้น 25% ต่อปีตามรายงานของกรมการท่องเที่ยว
แนวโน้มใหม่ของการท่องเที่ยวทั้งในไทยและระดับโลกล้วนมุ่งสู่ Low carbon Tourism
4. อุตสาหกรรมสีเขียว
อุตสาหกรรมสีเขียวคืออุตสาหกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมตลอดห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) เพื่อให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืน
สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยคาดว่าอุตสาหกรรม BCG จะสร้างมูลค่า 4.4 ล้านล้านบาท ให้กับเศรษฐกิจไทยภายในปี 2030
ขณะที่สมาคมยานยนต์ไฟฟ้าไทยเปิดเผยว่ายานยนต์ไฟฟ้าในไทยมีอัตราการเติบโต 400% ในปี 2024
สถาบันบรรจุภัณฑ์ไทย)รายงานว่าตลาดบรรจุภัณฑ์ยั่งยืน(Sustainable packaging)ในไทยมีมูลค่า 45,000 ล้านบาท ในปี 2024
การเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจสีเขียว: บทเรียนจากนานาประเทศ
ตัวอย่างความสำเร็จจากหลากหลายภูมิภาคสามารถให้บทเรียนอันมีค่าได้ดังนี้
1. เอเชีย: จากมลพิษสู่ต้นแบบเมืองยั่งยืน
ญี่ปุ่น โดยเฉพาะเมืองคิตะคิวชู เป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจ หลังจากเคยเผชิญกับมลพิษอุตสาหกรรมรุนแรงจนได้ชื่อว่า “เมืองแห่งฝนดำ” คิตะคิวชูสามารถฟื้นตัวได้สำเร็จด้วยโมเดล “ความร่วมมือร่วมกัน” ระหว่างภาครัฐ ภาคประชาชน รัฐบาลท้องถิ่น และภาคธุรกิจ โดยเฉพาะสมาคมสตรีเป็นแรงผลักดันให้เกิดการรวบรวมขยะรีไซเคิล ภาครัฐออกกฎหมายควบคุมมลพิษที่เข้มงวด ขณะที่ภาคอุตสาหกรรมลงทุนปรับปรุงเทคโนโลยีการผลิต จนกลายเป็นเมืองสิ่งแวดล้อมต้นแบบของโลก
ขณะที่ จีน ซึ่งเคยพึ่งพาถ่านหินอย่างหนัก กำลังก้าวขึ้นมาเป็นผู้ผลิตและส่งออกเทคโนโลยีสีเขียวรายใหญ่ของโลก เช่น แผงโซลาร์เซลล์และยานยนต์ไฟฟ้าในราคาที่แข่งขันได้ สะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนผ่านที่ขับเคลื่อนโดยนโยบายอุตสาหกรรมและตลาดส่งออก

2. ยุโรป: ความมุ่งมั่นในระดับนโยบายและนวัตกรรม
กลุ่มประเทศนอร์ดิกถือเป็นผู้นำระดับโลกในด้านนี้
สวีเดน ตั้งเป้าที่จะเป็นประเทศแรกของโลกที่ปลอดจากการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลภายในปี 2045
นอร์เวย์ ใช้พลังงานน้ำผลิตไฟฟ้าได้สูงถึง 95% และเป็นประเทศที่มีอัตราการใช้รถยนต์ไฟฟ้าสูงที่สุดในโลกแห่งหนึ่ง เดนมาร์ก เป็นผู้นำด้านพลังงานลม และพัฒนาเมืองหลวงอย่างโคเปนเฮเกนให้เป็นแบบอย่างของการออกแบบเมืองที่ยั่งยืน
เยอรมนีจัดตั้งธนาคารเพื่อการพัฒนา (KfW) เพื่อให้เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำสำหรับโครงการปรับปรุงประสิทธิภาพพลังงานในอาคารและโรงงาน ซึ่งช่วยให้ SME สามารถลงทุนในเทคโนโลยีสะอาดได้โดยไม่เป็นภาระต้นทุนสูง
สหภาพยุโรป (EU)
มีนโบายEuropean Green Deal โดยตั้งเป้าที่จะทำให้ทวีปยุโรปมีความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutral) ภายในปี 2050 ซึ่งสนับสนุนโดยการลงทุนจำนวนมหาศาลเกินหนึ่งล้านล้านยูโร เพื่อเปลี่ยนระบบพลังงานและส่งเสริมเศรษฐกิจหมุนเวียน

3. ละตินอเมริกาและอเมริกาใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ
คอสตาริกา เป็นตัวอย่างที่น่าทึ่งของประเทศเล็กๆ ที่มีวิสัยทัศน์ใหญ่ ด้วยการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำและป่าอย่างมีประสิทธิภาพ คอสตาริกาสามารถผลิตไฟฟ้าจากแหล่งพลังงานหมุนเวียนได้เกือบ 100% และตั้งเป้าบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2050
รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา เป็นตัวอย่างความสำเร็จในการติดตั้ง BESS (Battery Energy Storage System)
4.ตะวันออกกลางจากฮับน้ำมันฟอสซิลสู่พลังงานสะอาด
ประเทศที่ร่ำรวยจากน้ำมันอย่าง
ซาอุดิอาระเบีย มีโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ใหญ่ที่สุดในโลกขนาด 12 กิกะวัตต์
สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) กำลังผลักดันเศรษฐกิจสีเขียวผ่านการลงทุนในพลังงานสะอาดและการเป็นเจ้าภาพจัดงานสำคัญระดับโลก ซึ่งคาดว่าเศรษฐกิจสีเขียวในภูมิภาคตะวันออกกลางจะมีมูลค่าสูงถึง 12 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2030
จากตัวอย่างเหล่านี้ จะเห็นได้ว่าการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจสีเขียวที่ประสบความสำเร็จล้วนมีองค์ประกอบสำคัญร่วมกัน ได้แก่
1.ความเป็นผู้นำและวิสัยทัศนย์ที่ชัดเจน ของรัฐบาล
2.ความร่วมมือจากทุกภาคส่วน อย่างแท้จริง
3.การลงทุนในนวัตกรรมและเทคโนโลยี ใหม่ๆ
4.การออกแบบนโยบายที่สอดคล้องกับจุดแข็ง และบริบทของแต่ละประเทศ

ตัวอย่างสหภาพยุโรป (EU)จัดทำโครงการ “Just Transition” เพื่อฝึกอบรมแรงงานในอุตสาหกรรมถ่านหินให้เปลี่ยนไปทำงานในภาคพลังงานหมุนเวียน เป็นการลงทุนในทุนมนุษย์สีเขียวที่จะสร้างงานใหม่และลดปัญหาการขาดแคลนแรงงานทักษะสูง
สรุป
โลกกำลังเปลี่ยนไป ถ้าเราไม่ปรับตัวเราจะถูกทิ้งไว้ข้างหลัง แต่ถ้าเราก้าวไปข้างหน้า โอกาสทางธุรกิจจะเปิดกว้าง
ซึ่งมีผลการวิจัยที่น่าสนใจสรุปว่าธุรกิจที่ดำเนินงานตามมาตรฐาน ESG มีผลประกอบการดีกว่าธุรกิจทั่วไปถึง 15-20% และการประหยัดพลังงานก็สามารถลดต้นทุนการผลิตได้ 10-30%
เศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) ได้กลายเป็นเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ของหลายประเทศทั่วโลก ซึ่งไม่เพียงมุ่งแก้ปัญหาวิกฤตสภาพภูมิอากาศ แต่ยังมองเห็นโอกาสทางเศรษฐกิจใหม่ๆ ในการสร้างงาน ส่งเสริมนวัตกรรม และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน
“Green Economy ไม่ใช่ “ต้นทุน” แต่คือการ “ลงทุน”ที่เต็มไปด้วยโอกาสสำหรับธุรกิจไทยที่ต้องเร่งคว้าไว้เพื่ออนาคตที่ยั่งยืน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ข่าวล่าสุด

อบจ.พิษณุโลก ส่ง จนท.-รถน้ำช่วยทำความสะอาดบ้านเรือน ปชช.
เพจดังแฉ "เขมร" จ้องฮุบ "ปราสาทคนา" สุรินทร์ เจอกัมพูชาสร้างฐานทหาร-บันไดไม้ทางขึ้น ทั้งๆ "กรมศิลป์" เคยสำรวจแล้ว ยันเป็นของไทย
“สีหศักดิ์" แต่งตั้ง "17 กุนซือ" ที่ปรึกษารมว.ต่างประเทศ ขับเคลื่อนนโยบายยุทธศาสตร์
ตำรวจศรีบุญเรือง รวบชาย 29 ปีพร้อมสิ่งเสพติด ยึดทรัพย์สินไว้ตรวจสอบเกือบสองล้านบาท
แม่ทัพภาคที่ 1 ย่องเงียบลงพื้นที่บ้านหนองจาน รับฟังข้อมูลจากหน่วยในพื้นที่ จ.สระแก้ว
ร้อยเอ็ด จัดฉลองครบรอบ 10 ปี สมาคมธุรกิจท่องเที่ยว ดึง Miss Thailand International 2025 ร่วมสร้างสีสัน

ดู LIVE รายการ

เราใช้ คุ้กกี้ เพื่อให้ทุกคนได้ประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น​