ออกหมายจับ 4 คน ปมดวลเดือดอู่ซ่อมรถ

ความคืบหน้าคดีมือปืนบุกยิงเจ้าของอู่ซ่อมรถย่านเทพารักษ์ สมุทรปราการ ล่าสุดตำรวจเผยหลักฐานจากกล้องวงจรปิดหลายมุม พบพรรคพวกเจ้าของอู่ใช้อาวุธปืนยิงตอบโต้ โดยหนึ่งในนั้นใช้อาวุธปืนลูกซองสั้นลั่นใส่ 2 นัด เบื้องต้นตำรวจอยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อขอศาลอนุมัติหมายจับ 4 คน ยืนยันให้ความเป็นธรรมทุกฝ่าย
ความคืบหน้าคดีที่นายไตรรัตน์บุกยิงนายเอนก เจ้าของอู่ซ่อมรถ ในตำบลเทพารักษ์ อำเภอเมืองสมุทรปราการ หวังสางแค้นเรื่องแพ้คดีซ่อมรถ แต่สุดท้ายนายไตรรัตน์ถูกยิงเสียชีวิต ส่วนนายเอนก และพวกได้รับบาดเจ็บ 2 คน เกิดเมื่อช่วงเย็นวันที่ 29 กันยายนที่ผ่านมา


ล่าสุดเมื่อวันที่ 30 กันยายน 2568 เจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวน อยู่ระหว่างตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิดในที่เกิดเหตุและบริเวณใกล้เคียงเพิ่มเติม และรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อเสนอศาลขออนุมัติหมายจับผู้เกี่ยวข้องอย่างน้อย 4 ราย ซึ่งอยู่ฝ่ายของอู่รถ หลังพบว่าพยานหลักฐานที่ปรากฏไม่ตรงกับคำให้การที่ผู้เกี่ยวข้องเคยให้ไว้กับพนักงานสอบสวนก่อนหน้านี้ นอกจากนี้ ในส่วนของอาวุธปืนที่ใช้ในการก่อเหตุ เบื้องต้นตรวจสอบพบว่ามีการใช้ปืนทั้งหมด 3 กระบอก เจ้าหน้าที่สามารถตรวจยึดได้แล้ว 2 กระบอก ส่วนอีก 1 กระบอก 1 ในฝ่ายของเจ้าของอู่ให้การว่าได้นำไปทิ้งลงในล่องน้ำข้างอู่รถยนต์ โดยเมื่อคืนที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่ลงงมค้นหาแล้วแต่ยังไม่พบหลักฐานดังกล่าว


โดยภาพจากกล้องวงจรปิด นาทีที่ 3.28 จะเห็นชายเสื้อดำกระโดดแล้วยิงปืนจากข้างกำแพงเข้าไป ก่อนที่จะยืนถือปืนคุมเชิงบริเวณหน้าอู่ ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ที่ถูกออกหมายจับ


พ.ต.อ.วิโรจน์ ตัดโส ผกก.สภ.สำโรงเหนือ เปิดเผยว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐานในที่เกิดเหตุทั้งหมด ปรากฏว่า ก่อนหน้านี้ทางคนตายเคยมีการจะใช้อาวุธปืนยิงกับทางเจ้าของอู่รถมาก่อน จึงทำให้เหตุการณ์ในครั้งนี้ ทางเจ้าของอู่รถมีการเตรียมตัวกับกลุ่มเพื่อนในการเฝ้าระวังป้องกัน หลังจากทราบข่าวว่า ทางคนตายจะบุกเข้ามาที่อู่รถ และเชื่อว่าจะไม่สามารถพูดคุยกันรู้เรื่อง โดยก่อนหน้านี้ทั้งสองฝ่ายเคย มีปัญหากันมาแล้วรอบนึง ซึ่ง ณ ตอนนั้น ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ได้ลงพื้นที่ไปตรวจสอบที่เกิดเหตุมาแล้ว แต่คลาดกัน

 

ข่าวที่น่าสนใจ

จากการสืบสวนทราบว่า เบื้องต้นทราบว่า ทางเจ้าของอู่รถและผู้เสียชีวิตนั้น เคยรู้จักกันมาก่อน และไปไหนมาไหนด้วยกันเป็นประจำ โดยทางผู้เสียชีวิตนั้นก็รู้จักกับเด็กที่อยู่ภายในอู่ซ่อมรถดังกล่าว ก่อนจะมีการชักชวนกันให้เอารถมาซ่อมที่อู่รถดังกล่าว หลังจากนั้นก็ยังไม่ทราบสาเหตุว่า 2 ฝ่ายนั้นมีปัญหากันแล้วเรื่องใด รู้เพียงแค่ว่ามีการฟ้องร้องเคยมีการฟ้องร้องขึ้นศาลกันในเรื่องของการซ่อมรถ ซึ่งการฟ้องร้องในครั้งนั้นทางศาลชี้ว่า ทางเจ้าของอู่รถเป็นฝ่ายถูก จึงไม่ได้จ่ายค่าเสียหายให้กับทางคู่กรณี และทำให้ทางคู่กรณีไม่ยอมจบกับเหตุการณ์ดังกล่าวเลยมาก่อเหตุในครั้งนี้

โดยในวันเกิดเหตุ ผู้เสียชีวิตได้เดินทางมาที่อู่รถดังกล่าว แต่ปรากฏว่า ทางเจ้าของอู่รถพร้อมกับกลุ่มเพื่อนนั้น ซึ่งคาดว่าน่าจะมีการพูดคุยมาก่อน ว่าทางผู้เสียชีวิตจะเดินทางมาหาที่อู่จึงมีการเตรียมตั้งรับ และยิ่งต่อสู้ในจำนวนกระสุนหลายนัด ซึ่งเหตุการณ์ก็เป็นไปตามภาพวงจรปิด และจากการตรวจสอบของฝ่ายพิสูจน์หลักฐานก็พบว่า ที่เกิดเหตุนั้น มีรอยรอยกระสุน และปลอกกระสุนเป็นจำนวนมาก โดยจากการตรวจสอบเบื้องต้น พบว่าเป็นปลอกกระสุนจากอาวุธปืนหลายกระบอก
ส่วนอาวุธปืนที่ทางเจ้าที่ตำรวจยึดได้นั้น เป็นอาวุธปืนของผู้ตาย และเจ้าของอู่รถ โดยจากการตรวจสอบเป็นอาวุธปืนที่มีทะเบียน 2 กระบอก จากการพิสูจน์ทราบปืนของผู้เสียชีวิตนั้น เป็นปืนของคนอื่น ซึ่งหลังจากนี้ทางเจ้าที่ตำรวจจะมีการเรียกตัวเจ้าของอาวุธปีนเข้ามาสอบสวนต่อไป ในส่วนอาวุธปืนของเจ้าของอู่รถนั้น จากการสอบถามพยานแวดล้อม เนื่องจากเจ้าของอู่รถนั้นได้รับบาดเจ็บ ยังไม่สามารถสอบปากคำได้ จึงทราบว่า ทางเจ้าของอู่รถได้มีการขอซื้อปืน และอยู่ระหว่างการโอนทะเบียน

ในส่วนที่เป็นกระสุนลูกซองนั้น ขณะนี้ยังไม่เจออาวุธปืน แต่จากการสอบสวนเบื้องต้นรู้ตัวเจ้าของแล้วอยู่ระหว่างพยานหลักฐาน เพื่อขอออกหมายจับ และคาดว่าเป็นปืนที่ไม่มีทะเบียน

 

ในส่วนประเด็นที่มีกระแสข่าวว่าทางเจ้าที่กำหนดจะมีการออกหมายจับฝ่ายเจ้าของอู่รถทั้ง 4 คนนั้น ซึ่งจากการรวบรวมพยานหลักฐานสืบสวนสอบสวนข้อเท็จจริง มีข้อมูลเพิ่มเติ่ม และเกรงว่าทางกลุ่มที่ถูกกล่าวหานั้นอาจจะหลบหนี และเข้าไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐานต่าง ๆ ทางตำรวจจึงจำเป็นต้องขอศาลอนุมัติหมายจับ และเชื่อว่าหลักฐานที่ทางเจ้าเจ้าหน้าที่ตำรวจรวบรวมได้นั้นสามารถออกหมายจับได้


ในส่วนข้อกฎหมายหากมีข้อกล่าวอ้างว่า ถูกฝ่ายคนตายบุกรุกจึงจำเป็นต้องป้องกันตัวนั้น ทางเจ้าที่ตำรวจมองว่า จะมีความผิดมากน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับพยานหลักฐาน และคำให้การของ เจ้าของที่พักอาศัย รวมถึงการให้ปากคำทุกอย่างจะขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้เกี่ยวข้อง อาทิ อัยการ ผู้พิพากษา หลังจากสำนวนขึ้นสู่การพิจารณาสำหรับการทำงานของทางเจ้าที่ตำรวจในการรวบรวมพยานหลักฐานนั้นก็ยืนยันว่า จะให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย


จากกรณีที่เกิดขึ้นนั้นเป็นการที่บุกรุกไปก่อเหตุถึงในอู่ ซึ่งคดีลักษณะนี้เจ้าของบ้านหรือเจ้าของเคหะสถานมักได้เปรียบในชั้นการต่อสู้คดี แต่พนักงานสอบสวนต้องรวบรวมพยานหลักฐาน ถึงพฤติการณ์การก่อเหตุว่าเจ้าของอู่เข้าข่ายความผิดอะไรหรือไม่ การจัดเตรียมปืน และพรรคพวกไว้รับมือนั้นตามที่กล่าวอ้างว่าเป็นการป้องกันตัว จะยึดหลักพยานหลักฐานที่เกิดขึ้นมากกว่า ซึ่งจะต้องรวบรวมในสำนวน โดยจะให้ความเป็นธรรมกับทั้งสองฝ่าย พนักงานสอบสวนก็จะส่งสำนวนให้พนักงานอัยการพิจารณาสั่งฟ้องต่อไป ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของพนักงานอัยการ และศาลด้วย


นางสาวปรางค์ทิพย์ จินดามรกฎ / ธนวัต นาคขำ  ผู้สื่อข่าว topnewsmyj;wmp  จ.สมุทรปราการ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ข่าวล่าสุด

"นายกฯอนุทิน" มอบนโยบาย "สตช." หยอดหวาน "ไม่มีใครรู้จักตำรวจดีเท่าลูกเขยตำรวจ" พร้อมหนุนทุกภารกิจตร. ย้ำสำคัญต้องพิทักษ์ ปกป้องสถาบันฯ
รองผู้ว่าฯ แม่ฮ่องสอน ลงพื้นที่น้ำป่าไหลหลาก พบเสียหาย 7 ตำบล 50 หมู่บ้าน
สพฐ. ถอดบทเรียนขับเคลื่อน PISA วางแผนต่อระยะยาวเตรียมพร้อม 2029
ผู้ว่าฯ มุกดาหาร เปิดสะพานข้ามห้วยเลา เชื่อมเศรษฐกิจ ยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนดงหลวง
ตรวจหวย ผลสลากกินแบ่งรัฐบาล งวดประจำวันที่ 1 ตุลาคม 2568
พายุ “บัวลอย” ถล่มแพร่ ฝนตกทั้งคืน ท่วมแล้ว 3หมู่

ดู LIVE รายการ

เราใช้ คุ้กกี้ เพื่อให้ทุกคนได้ประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น​