อย่างไรก็ตาม กว่าที่จะมาถึงจุดนี้ได้ เธอต้องเผชิญกับปัญหาและอุปสรรคมากมาย ด้วยเป็นคนรุ่นใหม่ที่ไม่มีพื้นฐานความรู้ด้านการเกษตรเต็มตัว อาศัยแค่เคยช่วยพ่อแม่ทำงาน เธอขาดทักษะและความรู้เฉพาะทาง ทั้งการดูแลต้นกาแฟอย่างถูกวิธี การคัดแยกเมล็ดคุณภาพ การคั่วให้ได้มาตรฐาน รวมถึงการสร้างแบรนด์และการทำตลาดที่แทบจะเป็นเรื่องใหม่ทั้งหมด
แต่น้องอรเลือกที่จะไม่ถอย เลือกใช้วิธีเรียนรู้และพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง เริ่มจากการศึกษาด้วยตนเอง ค้นคว้าจากหนังสือ อินเทอร์เน็ต และคลิปวิดีโอ ประกอบกับการเข้าร่วมการอบรมที่กรมส่งเสริมการเกษตรและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดขึ้น เพื่อเก็บเกี่ยวทักษะทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ นอกจากนี้ เธอยังเดินเข้าไปขอคำปรึกษาจากเจ้าหน้าที่เกษตรตำบลห้วยห้อมอย่างสม่ำเสมอ ช่วยให้ได้รับคำแนะนำตรงจุดและสามารถแก้ไขปัญหาที่เจอในสวนได้อย่างทันท่วงที



ด้วยความมุ่งมั่นและการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง ทำให้น้องอรสามารถเปลี่ยนความไม่รู้ให้กลายเป็นความรู้ และเปลี่ยนความท้าทายให้เป็นโอกาส จนในที่สุดสามารถพัฒนากาแฟจากไร่เล็ก ๆ ของครอบครัวให้ก้าวสู่การเป็นพื้นที่สร้างแบรนด์ที่มีคุณภาพและได้รับการยอมรับ
ปัจจุบัน “ย่าทา คอฟฟี่” แตกไลน์การผลิตหลากหลาย ทั้งเมล็ดกาแฟคั่ว กาแฟดริป และยังเปิดร้านกาแฟเล็ก ๆ ในชุมชนที่ชื่อว่า “ร้านกาแฟย่าทา” ซึ่งไม่เพียงจำหน่ายกาแฟคุณภาพดี แต่ยังทำหน้าที่เป็น แหล่งเรียนรู้ด้านกาแฟของชุมชน ถ่ายทอดทักษะให้เยาวชนที่สนใจ ตั้งแต่การปลูก การเก็บเกี่ยว การแปรรูป การเป็นบาริสต้า ไปจนถึงการต่อยอดเป็นธุรกิจจริง เพื่อสร้างรายได้ใกล้บ้าน
ไร่กาแฟของน้องอร มีผลประกอบการและผลตอบรับที่น่าพอใจ ตั้งแต่ด้านการเพาะปลูกไปจนถึงด้านการตลาด
• ผลผลิตกาแฟเชอรี่เฉลี่ย 5–6 ตันต่อปี
• ผลิตภัณฑ์แปรรูป: เมล็ดกาแฟคั่ว, กาแฟดริป, กาแฟสเปเชียลตี้ (Specialty Coffee)
• รายได้รวมจากการจำหน่ายผลิตภัณฑ์และร้านกาแฟเฉลี่ยมากกว่า 500,000 บาทต่อปี
• ผลตอบรับจากลูกค้าเป็นไปในเชิงบวก โดยชื่นชมใน รสชาติ ความหอม และแนวคิดการผลิตที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม ซึ่งกลายเป็นจุดขายสำคัญของแบรนด์
นอกจากจะเป็นธุรกิจที่สร้างรายได้แล้ว “ย่าทา คอฟฟี่” ยังเป็นตัวอย่างให้เห็นว่าคนรุ่นใหม่สามารถสร้างคุณค่าใหม่ให้กับอาชีพดั้งเดิมของครอบครัว และเชื่อมโยงชุมชนเข้ากับเศรษฐกิจสมัยใหม่ได้อย่างลงตัว



กาแฟที่เติบโตเคียงคู่กับป่าด้วยการสนับสนุนของกรมส่งเสริมการเกษตร
เบื้องหลังความสำเร็จคือแนวคิด “ปลูกกาแฟร่วมกับป่า” หรือเกษตรเชิงอนุรักษ์ คือ ไม่มีการแผ้วถางเพื่อปลูกพืชเชิงเดี่ยว แต่ปลูกต้นกาแฟแบบกลมกลืนใต้ร่มเงาต้นไม้ใหญ่ เน้นใช้ปัจจัยการผลิตอย่างเหมาะสม ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นการช่วยรักษาสมดุลของระบบนิเวศ และยังเสริมสร้างความหลากหลายทางชีวภาพ แนวคิดนี้สะท้อนถึงความตั้งใจของน้องอร ที่ไม่ได้ต้องการให้กาแฟเป็นเพียงสินค้า แต่เป็น เครื่องมือขับเคลื่อนชุมชนบ้านละอูบให้สามารถเติบโตอย่างมั่นคงและดำรงอยู่ได้ควบคู่กับธรรมชาติไปพร้อมกัน


เบื้องหลังการเติบโตของแบรนด์กาแฟท้องถิ่น ยังมีการสนับสนุนจาก กรมส่งเสริมการเกษตร ผ่านสำนักงานเกษตรจังหวัดแม่ฮ่องสอน และสำนักงานเกษตรอำเภอแม่ลาน้อย ที่เข้ามาช่วยพัฒนาทั้งในด้านองค์ความรู้และมาตรฐานการผลิต โดยมีการจัดอบรม ถ่ายทอดเทคนิคการปลูกและการดูแลรักษาต้นกาแฟ การคัดเลือกเมล็ดและการแปรรูปอย่างถูกวิธี ตลอดจนส่งเสริมให้ใช้แนวทางเกษตรอินทรีย์และมาตรฐาน GAP เพื่อยกระดับคุณภาพผลผลิตให้ได้คุณภาพสำหรับตลาดกาแฟพิเศษ (Specialty Coffee)


นอกจากนี้ กรมส่งเสริมการเกษตรยังสนับสนุนให้เกิดการรวมกลุ่มเกษตรกรรุ่นใหม่ ภายใต้เครือข่าย Young Smart Farmer เพื่อสร้างการเรียนรู้ร่วมกัน และผลักดันให้เชื่อมโยงกับผู้ประกอบการรายใหญ่ รวมถึงขยายช่องทางการตลาดทั้งในพื้นที่และออนไลน์ จนกาแฟจากบ้านเล็ก ๆ บนดอยสามารถก้าวออกไปสู่สายตาผู้บริโภคในวงกว้าง ทั้งหมดนี้ทำให้ “ย่าทา คอฟฟี่” ไม่ได้เป็นเพียงแบรนด์กาแฟของชุมชน แต่เป็นตัวอย่างสำคัญของการเกษตรเชิงอนุรักษ์ที่สามารถสร้างสมดุลระหว่างเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม และวิถีชีวิตชุมชนได้อย่างยั่งยืน

