นายอลงกรณ์ พลบุตร ประธานสถาบันเอฟเคไอไอ ประธานมูลนิธิWorldview Clmate Foundation ผู้ก่อตั้งและประธานกิตติศักดิ์มูลนิธิสถาบันพลังงานทางเลือกแห่งประเทศไทยและรองประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรคประชาธิปัตย์ปาฐกถาพิเศษเรื่อง “การปฏิวัติระบบกักเก็บพลังงาน: แนวโน้มโลกและเส้นทางเชิงยุทธศาสตร์ของไทย“ จัดโดยสถาบันทิวา(TVA: Transformation Valley)และสถาบันเอฟเคไอไอ.(FkII Institute)ที่สวนเสียงไผ่ กรุงเทพฯ.เมื่อวานนี้ โดยอดีตรัฐมนตรีอลงกรณ์กล่าวปาฐกถาว่า
“การเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ(low carbon economy)ทั่วโลกมีแรงขับเคลื่อนจากความจำเป็นเร่งด่วนในการแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ(Climate change)โดยพึ่งพาพลังงานหมุนเวียนเช่น พลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลม ฯลฯ แต่แหล่งพลังงานเหล่านี้มีลักษณะ “ไม่ต่อเนื่อง” (intermittent) คือไม่สามารถผลิตไฟฟ้าได้ตลอด 24 ชั่วโมง ดังนั้น ระบบกักเก็บพลังงาน(BESS : Battery Energy Storage System)จึงเข้ามามีบทบาทสำคัญ ทำหน้าที่เป็น แบตเตอรี่สำรองขนาดใหญ่สำหรับโครงข่ายไฟฟ้า(Grids)โดยจะกักเก็บพลังงานส่วนเกินไว้เมื่อมีปริมาณมาก และปล่อยกลับคืนเข้าสู่ระบบเมื่อมีความต้องการใช้สูงหรือในช่วงที่ไม่มีแสงแดดและลม ซึ่งบทบาทที่สำคัญนี้เองคือสิ่งที่ทำให้โครงข่ายไฟฟ้าที่พึ่งพาพลังงานหมุนเวียนได้อย่างสมบูรณ์กลายเป็นจริงได้
ด้วยเหตุนี้ตลาดระบบกักเก็บพลังงานทั่วโลกจึงเกิดการขยายตัวในอัตราที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน จากการวิจัยพบว่า ตลาด ระบบแบตเตอรี่กักเก็บพลังงาน (BESS) เพียงอย่างเดียวมีมูลค่าสูงกว่า 7.7 พันล้านดอลลาร์ในปี 2024 และคาดว่าจะเติบโตไปถึงกว่า 25.5 พันล้านดอลลาร์ภายในปี 2029 โดยมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยสะสมต่อปี (CAGR) เกือบ 27% อย่างไรก็ตามเมื่อพิจารณาตลาดในวงกว้างขึ้น ซึ่งรวมถึงเทคโนโลยีทั้งหมดอย่างระบบผลิตไฟฟ้าพลังน้ำแบบสูบกลับ (pumped-storage hydropower) บางการประเมินระบุว่ามูลค่าตลาดรวมอยู่ที่ประมาณ 669 พันล้านดอลลาร์ในปี 2024
ประเด็นสำคัญคือ แม้เทคโนโลยีดั้งเดิมอย่างพลังน้ำแบบสูบกลับจะยังคงเป็นสัดส่วนหลักของมูลค่าตลาด แต่ BESS คือกลุ่มที่มีการเติบโตเร็วที่สุด
การขยายตัวอย่างรวดเร็วนี้เป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่าเทคโนโลยีแบตเตอรี่กำลังกลายเป็นส่วนสำคัญและกระแสหลักในระบบพลังงาน ไม่ใช่แค่เพียงทางเลือกเฉพาะกลุ่ม(nich market)อีกต่อไป