เมื่อวันที่ 5 ก.ย. 2568 เวลา 09.00 น. ศาลอาญานัดฟังคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ในคดีของนักกิจกรรมและประชาชนรวม 5 ราย ได้แก่ เอกชัย หงส์กังวาน, “ฟรานซิส” บุญเกื้อหนุน เป้าทอง, “ตัน” สุรนาถ แป้นประเสริฐ และประชาชนอีก 2 คน ที่ถูกฟ้องในข้อหาหลักประทุษร้ายต่อเสรีภาพของพระราชินี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 110 จากกรณีถูกกล่าวหาว่าขัดขวางขบวนเสด็จของสมเด็จพระราชินีและเจ้าฟ้าทีปังกรรัศมีโชติฯ คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องและอัยการโจทก์อุทธรณ์ต่อมา
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ เห็นว่าการกระทำของทั้งห้าผิดกฎหมายหลายบท ลงโทษบทที่หนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 110 จำคุกคนละ 16 ปี ส่วนเอกชัยเพิ่มโทษตามคำขออัยการโจทก์ 1 ปี 3 เดือน รวมจำคุกเอกชัย 21 ปี 4 เดือน โดยไม่รอการลงโทษ
คดีนี้มีศรายุทธ สังวาลย์ทอง และ พ.ต.ท.พิทักษ์ ลาดล่าย เป็นผู้กล่าวหา มูลเหตุเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 14 ต.ค. 2563 ระหว่างการชุมนุม #ม็อบ14ตุลา ของ “คณะราษฎร63” ราว 17.00 น. ขณะที่กลุ่มผู้ชุมนุมกลุ่มหลักกำลังเคลื่อนขบวนจากบริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยไปยังทำเนียบรัฐบาล บริเวณถนนพิษณุโลก ด้านหน้าของทำเนียบรัฐบาลมีกลุ่มผู้ชุมนุมรวมตัวกันจำนวนหนึ่งเพื่อรอคอยขบวนใหญ่ที่กำลังเดินทางมา ได้เกิดเหตุที่ขบวนเสด็จของสมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พร้อมด้วยสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าทีปังกรรัศมีโชติฯ ผ่านเข้ามาในที่ชุมนุม ทำให้เกิดความวุ่นวายขึ้น จนเจ้าหน้าที่ตำรวจต้องเข้ามากั้นแนวระหว่างผู้ชุมนุมและรถขบวนเสด็จ ก่อนขบวนจะผ่านไปได้ แต่ภายหลังมีผู้ถูกดำเนินคดีจากเหตุการณ์นี้จำนวน 5 คน โดยถูกกล่าวหาว่าร่วมกันขัดขวางขบวนเสด็จ
ในชั้นสอบสวน เอกชัยและสุรนาถไม่ได้รับการประกันตัว ทั้งสองถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำเป็นระยะเวลา 18 และ 13 วัน ตามลำดับ จนกระทั่งศาลอาญามีคำสั่งยกคำร้องฝากขังของพนักงานสอบสวน ในส่วนของสุรนาถยังถูกย้ายไปคุมขังที่เรือนจำกลางบางขวางในสภาพขังเดี่ยว โดยมีการอ้างเกี่ยวกับมาตรการป้องกันโควิด
ต่อมา พนักงานอัยการมีคำสั่งฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 31 มี.ค. 2564 โดยศาลอนุญาตให้ประกันตัวจำเลยทั้งห้า และทั้งหมดต่อสู้คดี โดยทำการสืบพยานไปรวมทั้งหมด 16 นัด แยกเป็นพยานโจทก์ 13 นัด และพยานจำเลย 3 นัด ในช่วงระหว่างเดือนพฤศจิกายน 2565 ถึงเดือนมีนาคม 2566
คดีนี้ทนายความจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนว่าความให้จำเลยที่ 2-3 (บุญเกื้อหนุนและสุรนาถ) ส่วนจำเลยรายอื่น ๆ มีทีมทนายความจากสมาพันธ์นักกฎหมายเพื่อสิทธิและเสรีภาพ (สกสส.) ให้ความช่วยเหลือทางกฎหมาย
หลังสืบพยานเสร็จสิ้น ในวันที่ 28 มิ.ย. 2566 ศาลอาญาได้พิพากษายกฟ้องทุกข้อกล่าวหา เห็นว่าเหตุการณ์เป็นความเข้าใจคลาดเคลื่อนของทุกฝ่าย เจ้าหน้าที่ควบคุมฝูงชนก็เพิ่งทราบเรื่องขบวนเสด็จฯ เมื่อใกล้ถึงที่เกิดเหตุ และเมื่อผู้ชุมนุมทราบว่าเป็นขบวนเสด็จฯ ก็ได้ล่าถอยไปและขบวนเสด็จก็ผ่านไปได้ สำหรับข้อหากีดขวางทางสาธารณะและการจราจร ศาลเห็นว่าตำรวจเป็นผู้นำรถมากีดขวางถนนเอง
ต่อมา เมื่อวันที่ 4 ก.ย. 2566 เรือโทสายันต์ สุโขพืช พนักงานอัยการผู้เชี่ยวชาญพิเศษ สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีศาลสูง 1 ได้เป็นผู้เรียงอุทธรณ์คดีนี้ โดยขอให้ศาลอุทธรณ์กลับคำพิพากษาของศาลชั้นต้น โดยบุญเกื้อหนุน และสุรนาถ จำเลยที่ 2 และ 3 ได้ยื่นโต้แย้งอุทธรณ์ของอัยการและขอให้ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น
วันนี้ (5 ก.ย. 2568) ที่ห้องพิจารณาคดีที่ 608 ในช่วงเช้ามีคดีทั้งหมดประมาณ 12 คดี ทำให้ที่นั่งในห้องพิจารณาไม่เพียงพอ จำเลยทั้งห้าจึงนั่งรอเจ้าหน้าที่หน้าบัลลังก์เรียกคดี โดยวันนี้บุญเกื้อหนุนและสุรนาถมีครอบครัวและเพื่อน ๆ มาร่วมให้กำลังใจด้วย
เวลา 10.08 น. ตำรวจศาลได้เรียกเฉพาะจำเลยทั้งห้าและผู้เกี่ยวข้องเข้าไปในห้องพิจารณา ให้ญาติ เพื่อน ๆ รวมถึงประชาชนที่สนใจรออยู่ข้างนอก
เวลา 10.10 น. ระหว่างที่ผู้พิพากษากำลังแกะซองคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ ชายคนหนึ่งได้เดินมาสั่งห้ามไม่ให้ผู้อยู่ในห้องพิจารณาคดีจดบันทึกคำพิพากษาและบรรยากาศในห้องพิจารณาคดี จากนั้นนักกิจกรรมที่เข้ามาร่วมให้กำลังใจจำเลยได้ขอให้ศาลช่วยสั่งห้ามจดบันทึกลงในรายงานกระบวนด้วยตนเอง เพราะไม่ทราบว่าใครเป็นผู้มาสั่งห้ามดังกล่าว ก่อนจะมีการโต้เถียงกับชายคนดังกล่าวทำให้โชคชัยถูกตำรวจศาลนำตัวออกจากห้องพิจารณา ต่อมาทราบว่าชายคนดังกล่าวเป็นเลขานุการของศาลอาญา
ทนายความของจำเลยได้ลุกขึ้นไปปรึกษากับผู้พิพากษาในคดีถึงการจดบันทึก เนื่องจากคดีนี้เป็นคดีที่ประชาชนให้ความสนใจ ต่อมาผู้พิพากษาอนุญาตให้จดบันทึกได้ และได้ให้ตำรวจศาลเรียกตัวนักกิจกรรมรายดังกล่าวกลับเข้ามาได้ แต่เขาตัดสินใจไม่กลับเข้าไป
ต่อมา ศาลได้เริ่มอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ โดยสรุปได้ว่า หลังศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนและปรึกษาหารือแล้ว เห็นว่ารัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ในมาตรา 44 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธ” วรรคสอง บัญญัติว่า “การจำกัดเสรีภาพตามวรรคหนึ่งจะกระทำมิได้ เว้นแต่โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่ตราขึ้นเพื่อรักษาความมั่นคงของรัฐ ความปลอดภัยสาธารณะ ความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน หรือเพื่อคุ้มครองสิทธิหรือเสรีภาพของบุคคลอื่น”
ดังนั้นแล้วการที่กลุ่ม “คณะราษฎร63” ได้ประกาศเชิญชวนให้มาชุมนุมที่อนุเสาวรีย์จนถึงช่วงที่เกิดเหตุต้องเป็นการชุมนุมที่อยู่ใต้รัฐธรรมนูญและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง