“ศาลฎีกา” ไม่อนุญาต ประกันตัว “เอกชัย” พร้อมพวก ขัดขวางขบวนเสด็จฯ ผิดอาญา มาตรา 110

"ศาลฎีกา" ไม่อนุญาต ประกันตัว "เอกชัย" พร้อมพวก ขัดขวางขบวนเสด็จฯ ผิดอาญา มาตรา 110

เมื่อวันที่ 5 ก.ย. 2568 เวลา 09.00 น. ศาลอาญานัดฟังคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ในคดีของนักกิจกรรมและประชาชนรวม 5 ราย ได้แก่ เอกชัย หงส์กังวาน, “ฟรานซิส” บุญเกื้อหนุน เป้าทอง, “ตัน” สุรนาถ แป้นประเสริฐ และประชาชนอีก 2 คน ที่ถูกฟ้องในข้อหาหลักประทุษร้ายต่อเสรีภาพของพระราชินี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 110 จากกรณีถูกกล่าวหาว่าขัดขวางขบวนเสด็จของสมเด็จพระราชินีและเจ้าฟ้าทีปังกรรัศมีโชติฯ คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องและอัยการโจทก์อุทธรณ์ต่อมา

ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ เห็นว่าการกระทำของทั้งห้าผิดกฎหมายหลายบท ลงโทษบทที่หนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 110 จำคุกคนละ 16 ปี ส่วนเอกชัยเพิ่มโทษตามคำขออัยการโจทก์ 1 ปี 3 เดือน รวมจำคุกเอกชัย 21 ปี 4 เดือน โดยไม่รอการลงโทษ

คดีนี้มีศรายุทธ สังวาลย์ทอง และ พ.ต.ท.พิทักษ์ ลาดล่าย เป็นผู้กล่าวหา มูลเหตุเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 14 ต.ค. 2563 ระหว่างการชุมนุม #ม็อบ14ตุลา ของ “คณะราษฎร63” ราว 17.00 น. ขณะที่กลุ่มผู้ชุมนุมกลุ่มหลักกำลังเคลื่อนขบวนจากบริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยไปยังทำเนียบรัฐบาล บริเวณถนนพิษณุโลก ด้านหน้าของทำเนียบรัฐบาลมีกลุ่มผู้ชุมนุมรวมตัวกันจำนวนหนึ่งเพื่อรอคอยขบวนใหญ่ที่กำลังเดินทางมา ได้เกิดเหตุที่ขบวนเสด็จของสมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พร้อมด้วยสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าทีปังกรรัศมีโชติฯ ผ่านเข้ามาในที่ชุมนุม ทำให้เกิดความวุ่นวายขึ้น จนเจ้าหน้าที่ตำรวจต้องเข้ามากั้นแนวระหว่างผู้ชุมนุมและรถขบวนเสด็จ ก่อนขบวนจะผ่านไปได้ แต่ภายหลังมีผู้ถูกดำเนินคดีจากเหตุการณ์นี้จำนวน 5 คน โดยถูกกล่าวหาว่าร่วมกันขัดขวางขบวนเสด็จ

ในชั้นสอบสวน เอกชัยและสุรนาถไม่ได้รับการประกันตัว ทั้งสองถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำเป็นระยะเวลา 18 และ 13 วัน ตามลำดับ จนกระทั่งศาลอาญามีคำสั่งยกคำร้องฝากขังของพนักงานสอบสวน ในส่วนของสุรนาถยังถูกย้ายไปคุมขังที่เรือนจำกลางบางขวางในสภาพขังเดี่ยว โดยมีการอ้างเกี่ยวกับมาตรการป้องกันโควิด

ต่อมา พนักงานอัยการมีคำสั่งฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 31 มี.ค. 2564 โดยศาลอนุญาตให้ประกันตัวจำเลยทั้งห้า และทั้งหมดต่อสู้คดี โดยทำการสืบพยานไปรวมทั้งหมด 16 นัด แยกเป็นพยานโจทก์ 13 นัด และพยานจำเลย 3 นัด ในช่วงระหว่างเดือนพฤศจิกายน 2565 ถึงเดือนมีนาคม 2566

คดีนี้ทนายความจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนว่าความให้จำเลยที่ 2-3 (บุญเกื้อหนุนและสุรนาถ) ส่วนจำเลยรายอื่น ๆ มีทีมทนายความจากสมาพันธ์นักกฎหมายเพื่อสิทธิและเสรีภาพ (สกสส.) ให้ความช่วยเหลือทางกฎหมาย

หลังสืบพยานเสร็จสิ้น ในวันที่ 28 มิ.ย. 2566 ศาลอาญาได้พิพากษายกฟ้องทุกข้อกล่าวหา เห็นว่าเหตุการณ์เป็นความเข้าใจคลาดเคลื่อนของทุกฝ่าย เจ้าหน้าที่ควบคุมฝูงชนก็เพิ่งทราบเรื่องขบวนเสด็จฯ เมื่อใกล้ถึงที่เกิดเหตุ และเมื่อผู้ชุมนุมทราบว่าเป็นขบวนเสด็จฯ ก็ได้ล่าถอยไปและขบวนเสด็จก็ผ่านไปได้ สำหรับข้อหากีดขวางทางสาธารณะและการจราจร ศาลเห็นว่าตำรวจเป็นผู้นำรถมากีดขวางถนนเอง

ต่อมา เมื่อวันที่ 4 ก.ย. 2566 เรือโทสายันต์ สุโขพืช พนักงานอัยการผู้เชี่ยวชาญพิเศษ สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีศาลสูง 1 ได้เป็นผู้เรียงอุทธรณ์คดีนี้ โดยขอให้ศาลอุทธรณ์กลับคำพิพากษาของศาลชั้นต้น โดยบุญเกื้อหนุน และสุรนาถ จำเลยที่ 2 และ 3 ได้ยื่นโต้แย้งอุทธรณ์ของอัยการและขอให้ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น

วันนี้ (5 ก.ย. 2568) ที่ห้องพิจารณาคดีที่ 608 ในช่วงเช้ามีคดีทั้งหมดประมาณ 12 คดี ทำให้ที่นั่งในห้องพิจารณาไม่เพียงพอ จำเลยทั้งห้าจึงนั่งรอเจ้าหน้าที่หน้าบัลลังก์เรียกคดี โดยวันนี้บุญเกื้อหนุนและสุรนาถมีครอบครัวและเพื่อน ๆ มาร่วมให้กำลังใจด้วย

เวลา 10.08 น. ตำรวจศาลได้เรียกเฉพาะจำเลยทั้งห้าและผู้เกี่ยวข้องเข้าไปในห้องพิจารณา ให้ญาติ เพื่อน ๆ รวมถึงประชาชนที่สนใจรออยู่ข้างนอก

เวลา 10.10 น. ระหว่างที่ผู้พิพากษากำลังแกะซองคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ ชายคนหนึ่งได้เดินมาสั่งห้ามไม่ให้ผู้อยู่ในห้องพิจารณาคดีจดบันทึกคำพิพากษาและบรรยากาศในห้องพิจารณาคดี จากนั้นนักกิจกรรมที่เข้ามาร่วมให้กำลังใจจำเลยได้ขอให้ศาลช่วยสั่งห้ามจดบันทึกลงในรายงานกระบวนด้วยตนเอง เพราะไม่ทราบว่าใครเป็นผู้มาสั่งห้ามดังกล่าว ก่อนจะมีการโต้เถียงกับชายคนดังกล่าวทำให้โชคชัยถูกตำรวจศาลนำตัวออกจากห้องพิจารณา ต่อมาทราบว่าชายคนดังกล่าวเป็นเลขานุการของศาลอาญา

ทนายความของจำเลยได้ลุกขึ้นไปปรึกษากับผู้พิพากษาในคดีถึงการจดบันทึก เนื่องจากคดีนี้เป็นคดีที่ประชาชนให้ความสนใจ ต่อมาผู้พิพากษาอนุญาตให้จดบันทึกได้ และได้ให้ตำรวจศาลเรียกตัวนักกิจกรรมรายดังกล่าวกลับเข้ามาได้ แต่เขาตัดสินใจไม่กลับเข้าไป

ต่อมา ศาลได้เริ่มอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ โดยสรุปได้ว่า หลังศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนและปรึกษาหารือแล้ว เห็นว่ารัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ในมาตรา 44 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธ” วรรคสอง บัญญัติว่า “การจำกัดเสรีภาพตามวรรคหนึ่งจะกระทำมิได้ เว้นแต่โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่ตราขึ้นเพื่อรักษาความมั่นคงของรัฐ ความปลอดภัยสาธารณะ ความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน หรือเพื่อคุ้มครองสิทธิหรือเสรีภาพของบุคคลอื่น”

ดังนั้นแล้วการที่กลุ่ม “คณะราษฎร63” ได้ประกาศเชิญชวนให้มาชุมนุมที่อนุเสาวรีย์จนถึงช่วงที่เกิดเหตุต้องเป็นการชุมนุมที่อยู่ใต้รัฐธรรมนูญและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง

 

ข่าวที่น่าสนใจ

คดีมีประเด็นที่ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์และจำเลย ดังนี้

1. จำเลยทราบหรือไม่ว่าขบวนที่ผ่านเป็นขบวนเสด็จ

จากพยานโจทก์หลายปาก เช่น ปาก พ.ต.ท.พิทักษ์ ลาดล่าย ผู้กล่าวหา เบิกความตอบทนายจำเลยถามค้านว่า ช่วงเวลาเกิดเหตุเป็นช่วงที่มีกจะมีการถวายพระราชกุศล ประชาชนทั่วไปอาจทราบจากการฟังข่าว วิทยุ และสื่อต่าง ๆ ได้ มีการประกาศผ่านทางพระราชกิจจานุเบกษา แต่ไม่ได้ประกาศว่าจะเรื่องเส้นทางใด ปกติแล้วขบวนเสด็จใช้เวลาประมาณ 1 นาที แต่ในวันเกิดเหตุใช้เวลานานกว่านั้น แต่จำไม่ได้ว่าจะนานเท่าไร

พ.ต.ท.พิทักษ์ มีภารกิจหลักของพยานคือการถวายอารักขาและดูแลกลุ่มผู้ชุมนุม โดยมีหน้าที่สืบสวน ติดตาม เฝ้าระวังกลุ่มผู้ชุมนุม และยังได้เบิกความว่าในวันดังกล่าวประชาชนผู้รับเสด็จใส่เสื้อสีเหลือง ในขณะที่ผู้ชุมนุมสวมเสื้อหลากสี และก่อนเกิดเหตุผู้ชุมนุมอยู่ฝั่งทำเนียบรัฐบาล

พยานปากอาสาหน่วยวชิรพยาบาล เบิกความว่าในช่วง 17.00 น. มีกลุ่มผู้ชุมนุมและประชาชนผู้รับเสด็จเพิ่มมากขึ้น จึงได้ไปเตรียมช่วยเหลือ กลัวว่าจะเกิดความรุนแรง มีผู้ชุมนุมด่าทอขบวนเสด็จและมีคนไม่ทราบว่าเป็นใครตะโกนว่าไม่ให้ผ่านเส้นทางนี้ มีการดึงดันกันประมาณ 10 นาที ในขณะเกิดเหตุพยายามจำจำเลยที่ 1 (เอกชัย) ได้ จำได้ว่าจำเลยที่ 1 พูดว่าขบวนเสด็จชูสามนิ้ว และมีผู้ชุมนุมอีกหลายคนพูดตามว่าชูสามนิ้ว

รวมถึงในพยานปากอื่นก็มีการเบิกความที่สอดคล้องกัน และยังมีการเบิกกความถึงความสูงของจำเลยว่าจำเลยส่วนใหญ่มีความสูงอยู่ที่ 180-190 ซม. มีเพียงจำเลยที่ 4 สูง 170 ซม. แต่ทั้งหมดสามารถมองผ่านข้ามศีรษะของเจ้าหน้าที่ควบคุมฝูงชนมองเห็นขบวนเสด็จฯ ได้ จึงเชื่อได้ว่าจำเลยทั้งหมดทราบว่ามีขบวนเสด็จของสมเด็จพระราชินีผ่าน

2. ข้อต่อสู้ของจำเลยฟังขึ้นหรือไม่

ที่จำเลยที่ 1 ต่อสู้ว่า ไม่ทราบว่ามีขบวนเสด็จฯ และเคลื่อนไปตามประกาศของแกนนำและได้ยื่นคล้องแขนกับจำเลยอื่นและผู้ชุมนุมเนื่องจากคิดว่าเจ้าหน้าที่ควบคุมฝูงชนจะผลักดันพื้นที่เพื่อสลายการชุมนุม แต่เมื่อเห็นว่าเป็นขบวนเสด็จฯ ผู้ชุมนุมก็ได้ถอยร่นและตนก็ได้ตะโกนบอกให้ผู้ชุมนุมทราบว่ามีขบวนเสด็จฯ

ที่จำเลยที่ 2 ต่อสู้ว่า ในวันเกิดเหตุไม่มีเจ้าหน้าที่แจ้งว่าการชุมนุมไม่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่มีเจ้าหน้าที่สั่งให้เลิกการชุมนุม และไม่มีเจ้าหน้าที่แจ้งว่าจะมีขบวนเสด็จฯ ผ่าน แต่เมื่อจำเลยเห็นว่ามีขบวนรถผ่าน แต่ไม่ทราบว่าเป็นขบวนอะไร จึงได้ใช้โทรโข่งประกาศกับฝ่ายผู้ชุมนุม

ที่จำเลยที่ 3 ต่อสู้ว่า เห็นตำรวจยืนคล้องแขนทำให้นึกว่าจะสลายการชุมนุมและเห็นว่ามีคนถูกเจ้าหน้าที่ผลักล้มจึงให้ผู้ชุมนุมนั่งลง เพื่อให้ตำรวจหยุดการกระทำดังกล่าว รวมถึงจำเลยไม่เห็นขบวนเสด็จด้านหลังตำรวจควบคุมฝูงชน

ที่จำเลยที่ 4 ต่อสู้ว่า ได้ไปที่เกิดเหตุเพื่อถ่ายภาพการชุมนุมเพื่อจะขายผลงานอิสระ โดยจำเลยเห็นรถยนต์สีแดงและเห็นผู้ชุมนุมยืนชูสามนิ้ว โดยที่ไม่ทราบว่าเป็นขบวนเสด็จฯ เนื่องจากเห็นเพียงว่ามีตำรวจนั่งในรถดังกล่าว

ที่จำเลยที่ 5 ต่อสู้ว่า ได้ไปร่วมการชุมนุมเนื่องจากอยากลองไปสักครั้ง จำเลยไม่ทราบข้อเรียกร้องของการชุมนุม จำเลยได้ยินจากผู้ชุมนุมพูดต่อ ๆ กันว่าจะกระชับพื้นที่การชุมนุมและเห็นผู้ชุมนุมชูสามนิ้ว จึงไปร่วมชู สามนิ้วด้วย

ตามที่ได้วินิจฉัยไปข้างต้นว่าจำเลยทราบว่ามีขบวนเสด็จของพระราชินีผ่าน แม้จำเลยจะปฏิเสธ ข้อต่อสู้มีเนื้อหาทำนองเดียวกันกับบันทึกคำให้การ แต่จำเลยมาชุมนุมก่อนเกิดเหตุ ทำให้เจ้าหน้าที่หลายคนต้องมาปฏิบัติหน้าที่ตามเหตุการณ์

อีกทั้งศาลอุทธรณ์ได้เปิดคลิปหลักฐานแห่งคดีและเห็นว่าเหตุการณ์ตามฟ้องเกิดขึ้นก่อนมีขบวนเสด็จเพียงเล็กน้อย ในคลิปปรากฏว่าจำเลยที่ 1 เดินมาประกบจำเลยที่ 2 ที่ยืนประชันหน้ากับตำรวจ จำเลยที่ 2 ถือโทรโข่งและพูดประกาศหันไปทางตำรวจ

เห็นว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 5 มีเจตนาขัดขวางขบวนเสด็จฯ อย่างชัดเจนยากที่จะปฏิเสธ ส่วนจำเลยที่ 3 ที่อ้างว่าให้ผู้ชุมนุมนั่งเพื่อลดความรุนแรง แต่กลายเป็นการทำให้เจ้าหน้าที่ทำงานยากมากขึ้น จึงเห็นว่าจำเลยที่ 3 จึงมีเจตนาขัดขวางขบวนเสด็จฯ

ส่วนจำเลยที่ 4 เมื่อจำเลยที่ 1 พูดว่าขบวนเสด็จฯ จำเลยที่ 4 ก็เดินเข้าไปและถ่ายภาพ แสดงว่าจำเลยที่ 4 ก็ร่วมขัดขวางขบวนเสด็จฯ ด้วย

ข้อกล่าวอ้างของจำเลยทั้งหมดฟังไม่ขึ้น

ที่ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องศาลอุทธรณ์ไม่เห็นพ้องด้วย พิพากษากลับ เชื่อได้ว่าจำเลยทั้งห้า ทราบว่าเป็นขบวนเสด็จของสมเด็จพระราชินี ทั้งห้ามีพฤติการณ์ขัดขวางขบวนเสด็จ การกระทำความผิดสำเร็จแล้วแต่ไม่บรรลุผลเพราะขบวนเสด็จเคลื่อนผ่านไปได้ จึงเป็นการพยายาม และกลุ่มผู้ชุมนุมมั่วสุมกันมากกว่า 10 คน โดยมีจำเลยที่ 1, ที่ 2 และ ที่ 3 เป็นผู้สั่งการให้กีดขวางการจราจร

พิพากษาว่า จำเลยทั้งหมดมีความผิดในประมวลกฎหมายอาญามาตรา 110 ประกอบมาตรา 80 มาตรา 215 มาตรา 385 และกีดขวางทางจราจร โดยฐานกีดขวางทางจราจรให้ปรับทางพินัย

การกระทำของจำเลยทั้งห้าเป็นการกระทำกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ลงโทษบทที่หนักที่สุดตามมาตรา 110 จำคุกคนละ 16 ปี เพิ่มโทษจำเลยที่ 1 (เอกชัย) รวมตามคำขอของโจทก์ เพิ่ม 1 ใน 3 ลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 รวม 21 ปี 4 เดือน

ส่วนที่ขอให้นับโทษต่อ ในคดีของจำเลยที่ 1 เห็นว่าไม่ได้พิพากษาลงโทษจำคุก ส่วนอีกคดีสิ้นสุดแล้ว จะไม่สามารถนับโทษต่อได้ยกคำขอส่วนนี้

ลงชื่อองค์คณะผู้พิพากษาในชั้นอุทธรณ์ ได้แก่ รังสิชัย บรรณกิจวิจารณ์, ทิวิบูลย์ ปราการพิลาศ และ วีรพงษ์ ศิริกานต์นนท์

หลังศาลอ่านคำพิพากษาเสร็จสิ้น จำเลยทั้งหมดได้ขอตำรวจศาลและเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์เพื่อไปเรียกญาติเข้ามาในห้อง แต่ละรายกอดและร้องไห้ในห้องพิจารณา ส่วนจำเลยที่ 4 ไม่มีญาติมาด้วย จึงต้องโทรหาญาติเพื่อสั่งลาและฝากของไว้กับทนายความ ก่อนทั้งหมดจะถูกนำตัวไปขังใต้ถุนศาล เพื่อรอผลประกันระหว่างฎีกา

ต่อมาเวลาประมาณ 17.30 น. ศาลอาญามีคำสั่งส่งคำร้องประกันตัวให้ศาลฎีกาวินิจฉัย ซึ่งต้องใช้เวลาอีกประมาณ 2-3 วัน ทำให้วันนี้ทั้ง 5 คน ต้องถูกนำตัวไปคุมขังเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ยอดผู้ต้องขังทางการเมืองจึงเพิ่มขึ้นเป็นอย่างน้อย 53 ราย

วันที่ 8 ก.ย. 2568 ศาลฎีกามีคำสั่งไม่อนุญาตให้ประกันตัวนักกิจกรรมและประชาชนรวม 5 ราย ได้แก่ เอกชัย หงส์กังวาน, “ฟรานซิส” บุญเกื้อหนุน เป้าทอง, “ตัน” สุรนาถ แป้นประเสริฐ และประชาชนอีก 2 คน ที่ถูกฟ้องในข้อหาหลักประทุษร้ายต่อเสรีภาพของพระราชินี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 110 จากกรณีถูกกล่าวหาว่าขัดขวางขบวนเสด็จของสมเด็จพระราชินี และเจ้าฟ้าทีปังกรรัศมีโชติฯ จากเหตุการณ์ชุมนุมเมื่อวันที่ 14 ต.ค. 2563

ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 5 ก.ย. 2568 ศาลอุทธรณ์ได้กลับคำพิพากษาของศาลชั้นต้น โดยเห็นว่าทั้งห้าคนมีความผิดตามฟ้อง โดยเชื่อได้ว่าจำเลยทั้งห้าทราบว่าเป็นขบวนเสด็จของสมเด็จพระราชินี ทั้งห้ามีพฤติการณ์ขัดขวางขบวนเสด็จ การกระทำความผิดสำเร็จแล้วแต่ไม่บรรลุผลเพราะขบวนเสด็จเคลื่อนผ่านไปได้ จึงเป็นการพยายาม และลุ่มผู้ชุมนุมมั่วสุมกันมากกว่า 10 คน

ศาลอุทธรณ์ได้พิพากษาลงโทษบทหนักที่สุด ตามมาตรา 110 จำคุกคนละ 16 ปี และให้เพิ่มโทษของจำเลยที่ 1 (เอกชัย) 1 ใน 3 เนื่องจากเคยต้องโทษจำคุกมาก่อน รวมโทษจำคุกจำเลยที่ 1 รวม 21 ปี 4 เดือน

หลังจากนั้นในการประกันตัว ศาลอาญาได้ส่งคำร้องให้ศาลฎีกาวินิจฉัย โดยทั้งห้าคนต้องถูกนำตัวไปคุมขังที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ

สามวันต่อมา นายประกันได้รับแจ้งคำสั่งของศาลฎีกา ซึ่งมีคำสั่งไม่อนุญาตให้ประกันตัว ลงวันที่ 6 ก.ย. 2568 ระบุเนื้อหาว่า “พิเคราะห์ความหนักเบาแห่งข้อหาและพฤติการณ์แห่งคดี ประกอบกับศาลอุทธรณ์ พิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1 ให้จำคุกและเพิ่มโทษ คงจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 21 ปี 4 เดือน และลงโทษจำคุกจำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 มีกำหนดคนละ 16 ปี หากปล่อยชั่วคราวมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าจำเลยทั้งห้าอาจจะหลบหนี จึงไม่อนุญาตให้ปล่อยจำเลยทั้งห้าชั่วคราวในระหว่างฎีกา ให้ยกคำร้อง”

 

 

ทั้งนี้ในคดีนี้ ศาลชั้นต้นได้เคยมีคำพิพากษายกฟ้องทุกข้อกล่าวหา โดยสรุปเห็นว่าไม่พบพยานหลักฐานว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ประกาศแจ้งเตือนให้กับผู้ชุมนุมได้รับทราบถึงการมีขบวนเสด็จ อีกทั้งตลอดเส้นทางที่ขบวนเสด็จใช้ ก็ไม่พบองค์ประกอบของการเป็นเส้นทางขบวนเสด็จตามปกติด้วย เช่น พสกนิกรที่มายืนรอรับเสด็จ, สัญลักษณ์ธงประจำพระองค์, การวางกำลังรักษาความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่ทุก 50 เมตร เป็นต้น ผู้ชุมนุมจึงไม่อาจรู้ได้เลยว่าขบวนเสด็จจะเคลื่อนผ่าน

เมื่อรถพระที่นั่งของพระราชินีเคลื่อนมาถึงหน้าทำเนียบรัฐบาลที่มีผู้ชุมนุมยืนรวมกลุ่มกันอยู่ เหตุการณ์ก็ยังปกติ ไม่พบว่ามีผู้ใดเข้าขัดขวางขบวนเสด็จ จนกระทั่งเจ้าหน้าที่ คฝ. ตั้งแนวกำลังเข้าชักล้อมรถพระที่นั่ง ทำให้ผู้ชุมนุมเข้าใจว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจพยายามจะสลายการชุมนุม ผู้ชุมนุมจึงประท้วงด้วยการแสดงออกชู 3 นิ้ว และตะโกนโวยวาย

ศาลชั้นต้นเห็นว่า เหตุการณ์เกิดขึ้นจากการที่ทุกฝ่ายเข้าใจคลาดเคลื่อนกัน การรับรู้ของผู้อยู่ในเหตุการณ์แต่ละคนไม่เท่ากัน แม้กระทั่งเจ้าหน้าที่ คฝ. ในแถวที่กำลังทำหน้าที่อยู่ในที่เกิดเหตุก็เพิ่งทราบว่าจะมีขบวนเสด็จเคลื่อนผ่านเมื่อขบวนเสด็จใกล้ถึงจุดเกิดเหตุแล้ว ทั้งยังไม่ทราบว่าเป็นขบวนเสด็จของพระบรมวงศานุวงศ์พระองค์ใด

เมื่อผู้ชุมนุมทราบแล้วว่าขบวนรถดังกล่าวเป็นขบวนเสด็จของพระบรมวงศานุวงศ์ก็ได้ล่าถอยไป จากนั้นสถานการณ์จึงได้คลี่คลายในเวลาต่อมา จึงเห็นว่าพยานหลักฐานยังรับฟังไม่ได้ว่าจำเลยทั้งห้ามีเจตนาขัดขวางขบวนเสด็จ และมั่วสุมกันโดยใช้กำลังประทุษร้ายทำให้เกิดการวุ่นวายในบ้านเมืองฯ

ขณะเดียวกันทั้งในชั้นสอบสวน และชั้นพิจารณาในคดีนี้ จำเลยทั้งห้าได้เดินทางมาตามนัด ไม่เคยมีพฤติการณ์หลบหนี ส่วนของเอกชัยและสุรนาถยังเคยถูกคุมขังในชั้นสอบสวน เป็นระยะเวลา 18 และ 13 วัน ตามลำดับ จนกระทั่งศาลอาญามีคำสั่งยกคำร้องฝากขังของพนักงานสอบสวน และทั้งคู่ยังคงเดินทางมาต่อสู้คดีตามนัด ส่วนคนอื่น ๆ ก็เข้ามอบตัวหลังทราบว่ามีหมายจับ

คำสั่งศาลฎีกาไม่ได้ระบุในการพิจารณาประกอบ ถึงความเห็นต่างที่เกิดขึ้นจากคำพิพากษาในศาลสองระดับ และพฤติการณ์ของจำเลยทั้งห้า เพื่อประกอบการให้สิทธิประกันตัวเพื่อการต่อสู้คดีอย่างเต็มที่ ตามหลักการสันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นผู้บริสุทธิ์จนกว่าคดีจะถึงที่สุด

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ข่าวล่าสุด

ตระกูล “สุวรรณชาติ” รวมพลังดันตลาดสุรนารีขึ้นแท่นเบอร์ 1 ตลาดค้าส่งสินค้าเกษตรภาคอีสาน วอนผู้ไม่เกี่ยวข้องหยุดแอบอ้างนามสกุล
“ณัฐพงษ์” ลั่นไม่หวั่นไหว สส.ยื่นร้องศาลรธน.ปม MOA 2 พรรค ย้ำเพื่อไทยเคยตอบรับข้อเสนอ ชี้ชัดย้อนแย้งสุดๆ
"ดร.ณัฏฐ์" ชี้ MOA "ภท.-ปชน." แลกโหวตนายกฯ เข้าข่ายขัดรัฐธรรมนูญ เสี่ยงถูกยุบพรรค
กต.ตร.เมืองฉะเชิงเทรา หนุนแข่ง BMX เด็กหญิงวัย 6 ปี คว้าแชมป์ประเทศไทย
บ้านนารีสวัสดิ์ จัดอบรมให้ความรู้เด็ก เยาวชน ในสถานศึกษาในพื้นที่ เพื่อให้มีความรู้ในด้านการป้องกันและแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์
รองนายกฯ อบจ.สมุทรปราการ แจงเหตุน้ำท่วมเมือง

ดู LIVE รายการ

เราใช้ คุ้กกี้ เพื่อให้ทุกคนได้ประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น​