“ปชน.” โต้เดือด “เพื่อไทย” ร้องศาลรธน.เอาผิด MOA แฉเคยยื่นเงื่อนไขเพิ่มแลกโหวตนายกฯ

"ปชน." โต้เดือด "เพื่อไทย" ร้องศาลรธน.เอาผิด MOA แฉเคยยื่นเงื่อนไขเพิ่มแลกโหวตนายกฯ

“ปชน.” โต้เดือด “เพื่อไทย” ร้องศาลรธน.เอาผิด MOA แฉเคยยื่นเงื่อนไขเพิ่มแลกโหวตนายกฯ

 

ข่าวที่น่าสนใจ

 

 

 

จากกรณีที่ สส.พรรคเพื่อไทยได้ร่วมกันเข้าชื่อยื่นต่อประธานสภาผู้แทนราษฎร ให้ส่งคำร้องไปยังศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อพิจารณาวินิจฉัยสมาชิกภาพการเป็น สส.ของ นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน และนายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย นายกรัฐมนตรีคนที่ 32 ของไทย สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญมาตรา 101 (2) ประกอบมาตรา 185 (1) และ (2) โดยอ้างว่าการทำบันทึกข้อตกลง (MOA) ระหว่างหัวหน้าพรรคทั้งสองนั้นขัดต่อรัฐธรรมนูญ เข้าข่ายครอบงำและแลกเปลี่ยนผลประโยชน์

ล่าสุดวันนี้ (7 ก.ย.68) นายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรคประชาชน กล่าวว่า พรรคเพื่อไทยมีสิทธิวิจารณ์การตัดสินใจของพรรคประชาชนได้เต็มที่ และพรรคประชาชนก็ต้องพร้อมน้อมรับทุกความเห็นและทุกการตรวจสอบ แต่เหตุผลที่ สส.พรรคเพื่อไทยใช้ในการยื่นคำร้องไปที่ศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อวินิจฉัยว่าการทำข้อตกลง MOA ของพรรคประชาชนเป็นการกระทำที่ขัดรัฐธรรมนูญ และเข้าข่ายการล้มล้างการปกครองนั้น มีความย้อนแย้งและไม่ส่งผลดีต่อความเข้มแข็งของประชาธิปไตย ซึ่งเป็นเป้าหมายที่พรรคเพื่อไทยต้องการยึดมั่น

(1) พรรคเพื่อไทยระบุว่าการทำข้อตกลงตาม “เงื่อนไข 3 ข้อหลัก” ของพรรคประชาชนขัดรัฐธรรมนูญ แต่ก่อนที่พรรคประชาชนจะตัดสินใจว่าจะทำข้อตกลงกับพรรคใด พรรคเพื่อไทยเองเป็นฝ่ายที่ประกาศยอมรับทุกเงื่อนไขของพรรคประชาชน หลังจากได้มีการหารือกันถึงรายละเอียดที่สำนักงานพรรคประชาชน ยังไม่นับถึงความพยายามของพรรคเพื่อไทย ก่อนหน้านั้นที่ได้ประกาศเงื่อนไขหรือข้อเสนอเพิ่มเติมจาก 3 ข้อเสนอหลักของพรรคประชาชน

(2) พรรคเพื่อไทยระบุว่าการตั้ง “รัฐบาลเสียงข้างน้อย” ขัดต่อหลักการประชาธิปไตย แต่นอกจากการมีอยู่ของรัฐบาลเสียงข้างน้อย จะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้และเคยเกิดขึ้นแล้วหลายครั้งในประเทศประชาธิปไตยทั่วโลก ตัวแทนพรรคเพื่อไทยที่มาพูดคุยกับผู้บริหารพรรคประชาชนก็เข้าใจและยอมรับเองตั้งแต่วันนั้น ว่าพร้อมจะคงสถานะความเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อยในห้วงเวลาก่อนยุบสภาฯ หากมีการทำข้อตกลง MOA กับพรรคประชาชน

(3) พรรคเพื่อไทยระบุว่าการ “ยุบสภาภายใน 4 เดือน” ก่อนจะหมดวาระในเดือนพฤษภาคม 2570 อาจขัดต่อรัฐธรรมนูญ แต่พรรคเพื่อไทยเองกลับเป็นฝ่ายที่ยืนยันว่าพร้อมยุบสภาฯ ภายใน 4 เดือน เมื่อครั้งพยายามโน้มน้าวให้พรรคประชาชนทำข้อตกลง MOA ร่วมกับเพื่อไทย รวมถึงยังได้ยื่นข้อเสนอพิเศษหลังจากที่พรรคประชาชนได้ลงนามข้อตกลง MOA ไปแล้ว ว่าพร้อม “ยุบสภาฯ ทันที” หากพรรคเพื่อไทยยังยืนยันว่าจะใช้เหตุผลนี้ในการยื่นศาลรัฐธรรมนูญ แล้วเราจะตีความคำสัญญาที่ผ่านมาเรื่องการยุบสภาฯ กันอย่างไร?

(4) พรรคเพื่อไทยระบุว่าการทำ “ข้อตกลง MOA” ต่างๆ ระหว่างพรรคการเมืองอาจขัดรัฐธรรมนูญหรือเข้าข่ายการครอบงำพรรคการเมือง ทั้งที่ข้อตกลงนั้นล้วนถูกทำอย่างเปิดเผยและเกี่ยวข้องกับประเด็นทางสาธารณะ หากพรรคเพื่อไทยเชื่อแบบที่ยื่นคำร้องจริง ก็เท่ากับเป็นความพยายามสร้างบรรทัดฐานให้พรรคการเมืองหลีกเลี่ยงการทำสัญญาประชาคมต่อหน้าประชาชนเกี่ยวกับจุดยืนหรือนโยบายสาธารณะ ซึ่งจะไม่ส่งผลดีต่อแนวทางการทำการเมืองที่โปร่งใสและประชาชนมีส่วนร่วม ที่ทุกฝ่ายน่าจะอยากเห็น

พวกเราสัมผัสได้ถึงความไม่พอใจของพรรคเพื่อไทยต่อการตัดสินใจของพรรคประชาชน และยอมรับว่าพรรคเพื่อไทยเองเป็นฝ่ายที่ได้รับผลกระทบมาก่อนหน้านี้จากกลไกของรัฐธรรมนูญ 2560 ที่ไม่เป็นประชาธิปไตย แต่หากเราต้องการให้รัฐบาลภูมิใจไทยไม่เบี้ยวต่อข้อตกลงเรื่องยุบสภาฯ และการปลดล็อกการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ และไม่กระทำการใดๆ อันจะส่งผลเสียต่อสุขภาพของประชาธิปไตยและกระบวนการยุติธรรมในช่วง 4 เดือนข้างหน้านี้ การทำงานหนักร่วมกันของพรรคประชาชนและพรรคเพื่อไทยในฐานะฝ่ายค้าน จะเป็นประโยชน์ต่ออนาคตประเทศ มากกว่าการหักหาญหรือทำลายล้างกันด้วยกลไกนิติสงคราม

แน่นอนว่าพรรคประชาชนเคารพสิทธิของพรรคเพื่อไทย ในการทำหน้าที่ฝ่ายค้านอย่างเป็นเอกเทศโดยไม่ร่วมมือกับพรรคประชาชน แต่ด้วยคณิตศาสตร์การเมืองในระบบรัฐสภา การร่วมมือกันในประเด็นที่เห็นตรงกัน จะทำให้ฝ่ายค้านทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพขึ้น เพราะจะมีเสียง สส.ของสองพรรครวมกันเกินกึ่งหนึ่งของสภาผู้แทนราษฎร

แม้พรรคเพื่อไทยกับพรรคประชาชนต่างมี สส.ของตนเองเพียงพอในการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ แต่หากต้องการจะล้มรัฐบาลได้ผ่านการลงมติไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการเบี้ยวสัญญาหรือใช้อำนาจโดยมิชอบ ความร่วมมือของสองพรรคมีส่วนสำคัญต่อการมีเสียงเกินกึ่งหนึ่งของสภาผู้แทนราษฎร

แม้พรรคเพื่อไทยกับพรรคประชาชนต่างมีร่างกฎหมายของตนเองที่อยากผลักดันในสภาฯ แต่หากสองพรรคพูดคุยและตกลงกัน กฎหมายทุกฉบับที่สองพรรคเห็นตรงกันว่าควรผลักดัน ก็สามารถผ่านความเห็นชอบของสภาฯ ไปได้ ในขณะที่กฎหมายทุกฉบับของรัฐบาลภูมิใจไทย ที่สองพรรคเห็นตรงกันว่าไม่ควรให้ผ่าน ก็ไม่มีทางผ่านความเห็นชอบของสภาฯ ไปได้

แม้พรรคเพื่อไทยกับพรรคประชาชน อาจมีมุมมองที่ต่างกันต่อการตัดสินใจของพรรคประชาชนที่ผ่านมา แต่หากทั้งสองพรรคร่วมกันคงความเป็นเอกภาพของ สส. ภายในพรรคตนเองได้สำเร็จ สถานะของรัฐบาลใหม่จะเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อยต่อไป และฝ่ายค้านจะทำงานได้ต่อไปในฐานะเสียงข้างมากในสภาฯ

การเมืองไทยควรมุ่งสู่การติดตามการรักษาสัญญา การตรวจสอบการใช้อำนาจของรัฐบาล และการผลักดันกฎหมายที่ก้าวหน้าในสภาฯ ให้เกิดผลแท้จริง แทนที่จะปล่อยให้การต่อสู้ทางการเมืองถูกลดทอนให้เหลือเพียงนิติสงครามเพื่อทำลายล้างกัน อันไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ในระยะยาว

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ข่าวล่าสุด

“โครงการวันเยาวชนแห่งชาติจังหวัดนครสวรรค์ ประจำปี 2568 ภายใต้หัวข้อ “4 ทศวรรษ ร่วมแรงแข็งขัน ช่วยกันพัฒนา ใฝ่หาสันติ”
ส.เขาใหญ่ เชิญชวน 1 ปี มีครั้งเดียว ปิดเขาใหญ่ KhaoYai Car Free Day 2025 เดิน วิ่ง ปั่น ดูดาวกลางเขาใหญ่ เน้นลดคาร์บอน ท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน
(50 ปีสัมพันธ์ไทย-จีน) แข่งขึ้น 'บันได 999 ขั้น' พิชิตประตูสวรรค์ในจางเจียเจี้ย
(50 ปีสัมพันธ์ไทย-จีน) จีนบรรลุเป้าหมายสำคัญโครงการตัดถนนชนบทก่อนกำหนด
(50 ปีสัมพันธ์ไทย-จีน) จีนเดินหน้าก่อสร้าง 'ฐานปล่อยยานอวกาศไห่หนาน เฟส 2'
วัดท่าช้างจัดพิธีรับตา-ยาย สืบสานประเพณีโบราณ ยกชูพลังศรัทธา

ดู LIVE รายการ

เราใช้ คุ้กกี้ เพื่อให้ทุกคนได้ประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น​