ไม่ยอมง่ายๆ “สส.เพื่อไทย” รวมตัวยื่นหนังสือถึงประธานสภาฯ ส่งคำร้องศาลรธน.วินิจฉัยสมาชิกภาพ “อนุทิน-ณัฐพงษ์” ทำ MOA ตั้งรัฐบาลขัดรัฐธรรมนูญ

สส. รวมชื่อส่งประธานสภาฯ ยื่นศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย อนุทิน-ณัฐพงษ์ พ้นสมาชิกภาพ กรณีทำ MOA 'ยุบสภา 4 เดือน-ทำประชามติแก้ รธน.' แลกโหวตนั่งนายกฯ เหตุเข้าข่ายครอบงำชี้นำพรรคการเมือง ก้าวก่ายแทรกแซงเพื่อแลกเปลี่ยนผลประโยชน์

ไม่ยอมง่ายๆ “สส.เพื่อไทย” รวมตัวยื่นหนังสือถึงประธานสภาฯ ส่งคำร้องศาลรธน.วินิจฉัยสมาชิกภาพ “อนุทิน-ณัฐพงษ์” ทำ MOA ตั้งรัฐบาลขัดรัฐธรรมนูญ – Top News รายงาน

 

สส.เพื่อไทย

 

เมื่อวันที่ 7 กันยายน 2568 รายงานข่าว ระบุว่า สส.พรรคเพื่อไทย นำโดย นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว สส.น่าน พรรคเพื่อไทย เข้าชื่อยื่นหนังสือถึงประธานสภาผู้แทนราษฎร ขอให้ส่งคำร้องเรียนถึงศาลรัฐธรรมนูญ พิจารณาวินิจฉัยสมาชิกภาพ สส.นายอนุทิน ชาญวีรกูล สส. พรรคภูมิใจไทย และนายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส. พรรคประชาชน สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญมาตรา 101(3) ประกอบกับมาตรา 185 (1)(2) หรือไม่

ด้วยผลจากการที่ศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยให้ความเป็นรัฐมนตรีของ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ต้องสิ้นสุดลงเฉพาะตัว ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 170 (4) ประกอบ มาตรา 160 (5) ตามเรื่องพิจารณาที่ 17/2568 เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2568 จึงทำให้รัฐมนตรีต้องพ้นจาก ตำแหน่งทั้งคณะ ตามมาตรา 167 (1) ซึ่งตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 168 วรรคหนึ่ง (1) บัญญัติให้คณะรัฐมนตรีที่พ้นจากตำแหน่งในกรณีดังกล่าวให้อยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนกว่าคณะรัฐมนตรีที่ตั้งขึ้นใหม่จะเข้ารับหน้าที่ ยกเว้นนายกรัฐมนตรีจะอยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปมิได้ ต่อมาคณะรัฐมนตรีได้มีมติให้ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรีนั้น

​เมื่อนายกรัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่งข้างต้นแล้ว ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ต้องดำเนินการตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ มาตรา 154 ให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาให้ความเห็นชอบบุคคล ซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่แทน ซึ่งตามหลักการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และตามประเพณีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยของประเทศไทย พรรคการเมืองที่จะเสนอบุคคลซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งให้เป็นนายกรัฐมนตรีนั้น จะต้องรวบรวมเสียงสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรให้ได้มากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร ตามที่บัญญัติไว้ในวรรคสามของมาตรา 159 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย

ข้อเท็จจริงปรากฏว่าพรรคภูมิใจไทยได้รวบรวมเสียง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากพรรคการเมืองอื่นได้เพียงไม่เกิน 146 เสียงจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่มีอยู่ใน ปัจจุบัน 492 เสียง เมื่อไม่สามารถหาเสียงในจำนวนที่มากกว่ากึ่งหนึ่งได้จึงได้ทำข้อตกลงร่วมกับพรรคประชาชน โดยตกลงกันว่าสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของพรรคประชาชนจะให้ความเห็นชอบ นายอนุทิน ชาญวีรกูล เป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ โดยพรรคประชาชนจะไม่เข้าร่วมรัฐบาล ภายใต้เงื่อนไขที่พรรคประชาชนและพรรคภูมิไทย งตกลงร่วมกัน ดังต่อไปนี้

1. นายกรัฐมนตรีคนใหม่ต้องยุบสภาผู้แทนราษฎรภายใน 4 เดือน นับตั้งแต่วันที่ได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภา เพื่อจัดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไป

2. ในกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า ในการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ จำเป็นต้องมีการออกเสียงประชามติก่อนที่รัฐสภาจะดำเนินการแก้ไขรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ตามมาตรา 256 นั้น คณะรัฐมนตรีชุดใหม่ต้องจัดให้มีการออกเสียงประชามติในประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 เพื่อนำไปสู่การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยสภาร่างรัฐธรรมนูญที่มาจากการเลือกตั้งโดยเร็ว ทั้งนี้ต้องไม่เกินกว่าวันลงคะแนนเสียงเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไป

3. ในกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า ในการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ไม่จำเป็นต้องมีการออกเสียงประชามติก่อนที่รัฐสภาดำเนินการแก้ไขรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ตามมาตรา 256 นั้น คณะรัฐมนตรีชุดใหม่ พรรคประชาชน และพรรคภูมิใจไทยจะเร่งผลักดันร่างรัฐธรรมญแก้ไขเพิ่มเติม เพื่อกำหนดให้มีกระบวนการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยสภาร่างรัฐธรรมนูญที่มาจากการเลือกตั้งให้แล้วเสร็จในวาระของสภาผู้แทนราษฎรชุดนี้โดยเร็ว

4. เพื่อสร้างหลักประกันว่านายกรัฐมนตรีคนใหม่จะยุบสภาผู้แทนราษฎรภายใน 4 เดือนจริง พรรคภูมิใจไทยต้องไม่ดำเนินการโดยวิธีการใดๆ เพื่อทำให้เป็นรัฐบาลเสียงข้างมาก

5. พรรคประชาชนยืนยันเป็นฝ่ายค้านต่อไป โดยจะทำหน้าที่ตรวจสอบการบริหารราชการแผ่นดิน ของรัฐบาลชุดใหม่อย่างเต็มที่ และจะไม่มีบุคคลใดจากพรรคประชาชนไปดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี

ข่าวที่น่าสนใจ

รายละเอียดปรากฏตามเอกสารสิ่งที่ส่งมาด้วย

ข้าพเจ้าสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรผู้มีรายชื่อดังต่อไปนี้ ซึ่งมีจำนวนไม่น้อยกว่า 1 ใน 10 ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร เห็นว่าการกระทำของนายอนุทิน ชาญวีรกูล และ นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ เป็นการกระทำที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญและพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วย พรรคการเมืองหลายประการ ดังนี้

1. เป็นการใช้สิทธิและเสรีภาพเพื่อล้มล้างระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข กล่าวคือ ตามหลักการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ภายใต้ บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ มาตรา 114 บัญญัติว่าสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภาย่อมเป็นผู้แทนปวงชนชาวไทย ไม่อยู่ในความผูกมัดแห่งอาณัติมอบหมายหรือความครอบงำใดๆ และต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตเพื่อประโยชน์ส่วนรวมของประเทศชาติและความผาสุกของประชาชนโดยรวม โดยปราศจากการขัดกันแห่งผลประโยชน์

แต่การที่ นายอนุทิน ชาญวีรกูล และนายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ทำข้อตกลงร่วมกันดังกล่าว และกำหนดเงื่อนไขให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของพรรคประชาชน พรรคภูมิใจไทย และพรรคร่วมรัฐบาล ที่จะจัดตั้งขึ้นในโอกาสต่อไป ต้องปฏิบัติหน้าที่หรือดำเนินการภายใต้เงื่อนไขที่พรรคประชาชนกำหนดทั้ง 5 ประการ ถือว่าเป็นการที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคร่วมรัฐบาลต้องปฏิบัติหน้าที่โดยอยู่ในความผูกมัดแห่งอาณัติมอบหมายหรือความครอบงำของพรรคประชาชน และเป็นไปเพื่อประโยชน์ของพรรคประชาชน โดยมิได้เป็นไปเพื่อประโยชน์ส่วนรวมของประเทศชาติและความผาสุกของประชาชนโดยรวมแต่ประการใด

นอกจากนี้ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 164 บัญญัติว่าในการบริหารราชการแผ่นดิน คณะรัฐมนตรี ต้องดำเนินการตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ กฎหมาย และนโยบายที่ได้แถลงไว้ต่อรัฐสภา และต้องปฏิบัติหน้าที่ และใช้อำนาจด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เสียสละ เปิดเผย และมีความรอบคอบ ระมัดระวังในการดำเนินกิจการต่างๆ เพื่อประโยชน์สูงสุดของประเทศและประชาชนส่วนรวม

แต่เมื่อพิจารณาตามเงื่อนไขตามบันทึกข้อตกลงร่วมดังกล่าวแล้ว มีการกำหนดให้นายกรัฐมนตรีคนใหม่ต้องยุบสภาภายใน 4 เดือน ทั้งที่ระยะเวลาของสภาผู้แทนราษฎรจะครบวาระในเดือนพฤษภาคม 2570 อีกทั้งมีการกำหนดว่าพรรคภูมิใจไทยต้องไม่ดำเนินการโดยวิธีการใดๆ เพื่อทำให้เป็นรัฐบาลเสียงข้างมาก ซึ่งข้อตกลงดังกล่าวขัดต่อหลักการปกครองระบอบประชาธิปไตยที่โดยปกติแล้วรัฐบาลที่บริหารราชการแผ่นดินจะต้องมีเสียงข้างมากจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเพื่อสร้างความมีเสถียรภาพและประสิทธิภาพในการบริหารการแผ่นดิน

 

2. การกระทำของพรรคภูมิใจไทยและพรรคประชาชนเป็นการกระทำที่มีลักษณะเป็นการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ระหว่างกันเพื่อให้ นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี อันเป็นการขัดต่อพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2560 มาตรา 46 และการกระทำดังกล่าวยังถือว่า พรรคภูมิใจไทยยินยอมหรือกระทำการอันทำให้พรรคประชาชนกระทำการอันเป็นการควบคุม ครอบงำ หรือชี้นำ กิจกรรมของพรรคภูมิใจไทย ในลักษณะที่ทำให้พรรคภูมิใจไทย และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของพรรคภูมิใจไทย ขาดความเป็นอิสระ

ส่วนพรรคประชาชนก็กระทำการอันเป็นการควบคุม ครอบงำ หรือชี้นำกิจกรรมของพรรคภูมิใจไทย และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของพรรคภูมิใจไทยในลักษณะที่ทำให้พรรคภูมิใจไทยและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของพรรคภูมิใจไทยขาดความเป็นอิสระเช่นกัน ซึ่งเป็น การฝ่าฝืนมาตรา 28 และมาตรา 29 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2560 ซึ่งการกระทำของทั้งสองพรรคการเมืองดังกล่าวข้างต้น ถือว่าเป็นการกระทำอันเป็นการเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจใน การปกครองประเทศ โดยวิธีการซึ่งไม่ได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญและเป็นการกระทำอันเป็น ปฏิปักษ์ต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามมาตรา 42 วรรคหนึ่ง (1) และ (2) และ (3) ด้วย

การกระทำของ นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย และ นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชนดังกล่าวข้างต้น ข้าพเจ้าจึงเห็นว่า หากพรรคภูมิใจไทยได้จัดตั้งรัฐบาลแล้วต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขที่พรรคประชาชนกำหนด กรณีย่อมถือได้ว่า พรรคประชาชนโดยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของพรรค ประชาชนได้ใช้สถานะของการเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอันมีลักษณะเป็นการก้าวก่าย แทรกแซง เพื่อผลประโยชน์ของตนเอง ผู้อื่น หรือของพรรคประชาชน ในการปฏิบัติหน้าที่ราชการของคณะรัฐมนตรีและหน่วยงาน ของรัฐ ที่ต้องดำเนินการตามเงื่อนไขที่พรรคประชาชนกำหนด และดำเนินการต่างๆ ตามเงื่อนไขที่ตกลงนั้น ต้องใช้งบประมาณในการดำเนินการ เช่น การยุบสภาเพื่อเลือกตั้งใหม่ การออกเสียงประชามติเพื่อจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับ ใหม่ เป็นต้น

ดังนั้น การกระทำของ นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย และ นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของพรรคประชาชนและพรรคภูมิใจไทย จึงเป็นการฝ่าฝืนมาตรา 185 (1) และ (2) ของรัฐธรรมนูญ จึงทำให้สมาชิกภาพของการเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสิ้นสุดลงตามมาตรา 101 (7)

ข้าพเจ้าจึงขอใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญมาตรา 2 กราบเรียนต่อท่านประธานสภาผู้แทนราษฎร ขอได้โปรดส่งคำร้องไปยัง ศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัยให้สมาชิกภาพการเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของ นายอนุทิน ชาญวีรกูล และ นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สิ้นสุดลงเฉพาะตัวต่อไป จึงกราบเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณา

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ข่าวล่าสุด

เบื้องหลัง "นายกฯอนุทิน" ตัดสินใจยุบสภาฯ พรรคปชน.ยื่นซักฟอกล้มรัฐบาล ผิดหวังแพ้มติ ปิดกั้นสว.ห้ามยุ่งแก้รธน.
MOU ขับเคลื่อนเมืองท่องเที่ยวปลอดภัย
พุทธา–เทวาภิเษก “เหนือดวง องค์พ่อจตุคามรามเทพ” 108 พระเกจิปลุกเสกเข้มขลัง
“Phuket Detox 18 ปีแห่งความไว้วางใจ” สู่ก้าวใหม่ของนวัตกรรมเพื่อคนภูเก็ต
"สันติสุข" โพสต์เดือด "ยุบสภาไปเลยก็ดี" คนไทยได้เห็นธาตุแท้ฝ่ายค้านบางพรรค สนใจแค่แก้รธน.ไม่ห่วงความเป็นตายชาติ
ภูเก็ตประชุมกองทุนยุติธรรมช่วยประชาชน

ดู LIVE รายการ

เราใช้ คุ้กกี้ เพื่อให้ทุกคนได้ประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น​