วันนี้ 8 ส.ค.พลอากาศเอก มนัท ชวนะประยูร ผู้อำนวยการสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย หรือ กพท. เปิดเผยถึงความคืบหน้า หลังกพท.ออกประกาศห้ามทำการบินโดรนทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ 30 กรกฎาคม จนถึงวันที่ 15 สิงหาคมนี้ ว่า การควบคุมดูแลโดรนตามกฏหมาย โดรนทุกชนิดจะต้องมีการขึ้นทะเบียนกับ กพท.ทั้งหมด ทั้งที่ติดกล้องและไม่คิดกล้อง รวมถึงโดรนขนาดใหญ่ที่มีน้ำหนักเกิน 25 กิโลกรัม (โดรนเกษตร) จะต้องขออนุญาติทำการบินทุกครั้ง โดยการควบคุมกำกับดูแล กพท. ได้เปิดช่องทางอำนวยความสะดวกให้ผู้ใช้งาน สามารถลงทะเบียนผ่านช่องทางออนไลน์ ซึ่งผู้ใช้งานโดรนทั่วไปจะสามารถลงทะเบียนได้ทันที ส่วนผู้บังคับโดรน จะต้องลงทะเบียนและทำแบบทดสอบ เพื่อเป็นผู้ใช้งาน หากสอบผ่านจะได้รับไลเซ่นทำการบินโดรน
ทั้งนี้ ปัจจุบัน พบว่า มีผู้ขึ้นทะเบียนก่อนที่กพท.จะประกาศงดบินโดรนอยู่ที่ประมาณกว่า 3 หมื่นรายที่ขึ้นทะเบียนและคาดว่าเมื่อมีการประชาสัมพันธ์ ให้ผู้ใช้งานโดรนได้เข้าใจมากขึ้น จะมีผู้ขึ้นทะเบียนมากขึ้นหลังประกาศ และจากรายงานพบว่า ผู้ใช้โดรนได้มาขึ้นทะเบียนจำนวนมากขึ้น เนื่องจากมีความตื่นตัวเรื่องการใช้โดรนและเข้าใจว่ากพท. ต้องการแยกผู้ที่ใช้งานอย่างถูกต้อง และผิดกฎหมายออกจากกัน
ส่วนกรณีที่ กพท.ได้ออกประกาศห้ามทำการบินโดรนทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ 30 กรกฎาคม จนถึงวันที่ 15 สิงหาคมนี้ พลอากาศเอก มนัท ระบุว่า ในเรื่องประกาศห้ามบินโดรน มีทั้งกระเเสบวกและลบ แต่เชื่อว่าผู้ใช้งานมีความเข้าใจถึงความจำเป็นในเรื่องนี้ เพราะประกาศฉบับแรก ได้ประกาศห้ามบินในพื้นที่ความมั่นคง แต่เนื่องจากได้รับการประสานจากหน่วยงานความมั่นคง ว่า ยังคงมีการใช่งานโดรนในพื้นที่ ที่สำคัญของประเทศ อย่างพื้นที่ความมั่นคง และพื้นที่ทางการทหารและพื้นที่ความมั่นคงในด้านอื่นๆของประเทศ จึงได้มีการกำหนดห้ามบินโดรนทุกชนิดจนถึงวันที่ 15 ส.ค.นี้
ทั้งนี้ ในการสั่งห้ามบินโดรนทุกชนิด ได้ส่งผลกระทบกับภาคเกษตร ที่ ปัจจุบันมีการใช้โดนเกษตรในการพ่น หว่านปุ๋ย และไม่ได้อยู่ในพื้นที่เกี่ยวข้องกับพื้นที่ความมั่นคง ซึ่งตนได้หารือกับหน่วยงานความมั่นคงเพื่อหาแนวทางผ่อนปรนให้โดรนเกษตรใช้งานใด้ ภายใต้เงื่อนไขที่กำหนดไว้ทั้งความมั่นคงและความปลอดภัย พร้อมยืนยันว่า โดรนที่ได้รับการผ่อนปรน จะเป็นโดรนเกษตร ซึ่งจะต้องทำการบินในเวลากลางวันเท่านั้น ห้ามทำการบินในเวลากลางคืน และต้องขึ้นทะเบียนกับกพท. รวมถึงต้องขออนุญาตทั้งผู้บินโดรน และทำการบินโดรนในพื้นที่ที่ขออนุญาตทุกครั้ง ซึ่งหากออกนอกพื้นที่ระบบก็จะขาด เนื่องจาก กพท. มีระบบที่ตรวจติดตามโดรนที่ขึ้นทะเบียนขออนุญาติว่า โดรนดังกล่าวอยู่ในพื้นที่ที่ขออนุญาตหรือไม่ และกพท.ได้มีการประสานกับกสทช ตลอดเวลา
พลอากาศเอก มนัท ระบุว่า ในการขึ้นทะเบียนโดยจะมีด้วยกัน 2 ส่วนคือในส่วนของตัวเครื่อง จะขึ้นกับกพท. ส่วนเรื่องคลื่นความถี่จะขึ้นทะเบียนกับ กสทช. โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างการดำเนินการทั้งสองหน่วยงานให้มาอยู่ที่เดียวกันหรือ one stop service เพื่อจะช่วยอำนวยความสะดวกให้กับผู้ใช้งาน ทั้งนี้หาก ว่าผู้ที่ขอทำการบินไม่ได้อยู่ในพื้นที่จะมีความผิดตามกฎหมาย
ทั้งนี้ ยอมรับว่า ปัจจุบันยังมีการลักลอบบินโดรนอยู่บ้าง แต่จากการพบเห็นจะนับเป็นจำนวนเครื่องได้ยาก เพราะการบินโดรนจากจุดหนึ่งไปอีกจุดหนึ่งอาจจะเป็นโดรนลำเดียวกัน แต่อาจจะมีคนรายงานเข้ามาหลายคนทำใหักลายเป็นพบเห็นโดรนจำนวนมากได้ โดยการพบเห็นโดรนจำนวนมากจะมาในลักษณะเป็นกลุ่มในครั้งเดียวกัน และ ที่ผ่านมามีการรายงานว่ามีการพบเห็นโรนในเวลากลางคืนในพื้นที่ที่สำคัญซึ่งการใช้กลางคืน จากการใช้วิจารณญาณมองว่าไม่น่าจะเป็นการใช้งานที่ถูกต้องหรือเป็นไปตามกฏหมายเพราะเมื่อกพทอมีการประกาศห้ามบินการบินโดรนในเวลากลางคืนอาจจะมีวัตถุประสงค์อย่างอื่นที่ไม่ใช่การพัฒนาการใช้งานตามปกติ
ผู้สื่อข่าวถามต่อว่า กพท.สามารถตรวจสอบวัตถุประสงค์การบินโดรนได้หรือไม่ เนื่องจากประชาชนมีความกังวลว่า โดรนที่เห็นจะเป็นโดรนสอดแนม พลอากาศเอก มนัท ระบุว่า ในระบบของ กพท. ได้ทำระบบรองรับหากมีการพบเห็นโดรน โดยการที่เจ้าพนักงานล็อกอินเข้าระบบ สามารถตรวจสอบได้ว่าโดนที่เห็นเป็นโดรนที่มีการขออนุญาตถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ ส่วนกรณีที่เป็นโดรนผิดกฎหมายนั้น จะต้องใช้ระบบแอนตี้โดรน เพื่อขัดขวางการทำงานของโดรน ซึ่งมีหลากหลายวิธีในการจัดการโดรนผิดกฎหมายไม่ให้ทำการบิน รวมถึงยังมีเทคโนโลยี ที่จะใช้โดรนด้วยกันขึ้นไปจับโดรน แต่ประเทศไทยยังไม่มีเทคโนโลยีด้านนี้
พลอากาศเอก มนัท ระบุว่า พร้อมยืนยันว่าในการขึ้นบินของโดรนจะต้องมีการขออนุญาตทุกครั้งเช่นเดียวกับเครื่องบิน โดยจะต้องส่งแผนมาที่กพททุกครั้งเพื่ออนุมัติการบินในแต่ละครั้ง แต่หากมีการนำโดนไปใช้โดยไม่มีการขออนุญาตจะมีความ ความผิด ตามกฎหมาย มีโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปีและปรับไม่เกิน 40,000 บาท โดยหน้าที่การจับกลุ่มจะเป็นของเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง เนื่องจากกพท.ยังไม่มีความพร้อมในการเข้าจับกุมเพราะผู้ที่บังคับโดนอาจอยู่ในพื้นที่ที่ตรวจสอบไม่ได้ จึงต้องเป็นหน้าที่ของหน่วยงานความมั่นคงเป็นหลัก