“นายกฯ” ประกาศยกระดับแก้ปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติ สั่งหน่วยความมั่นคงคุมเข้มชายแดน ขีดเส้น 3 เดือน ต้องเห็นผลเป็นรูปธรรม
ข่าวที่น่าสนใจ
23 มิ.ย.68 ที่ทำเนียบรัฐบาล นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี นำทีมแถลงภายหลังการประชุมติดตามมาตรการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติ โดยเปิดเผยว่า รัฐบาลประกาศยกระดับการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติ โดยที่ไทยอาสาเป็นเจ้าภาพในการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติในการหาความร่วมมือกับนานาประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ที่กระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชน รวมไปถึงความเชื่อมั่นของประเทศไทยในระดับนานาชาติ
ทั้งนี้ จากข้อมูลของ UN หรือ สหประชาชาติที่ได้มีข้อมูลว่า กัมพูชา ถือเป็นแหล่งศูนย์รวมอาชญากรรมระดับโลก ซึ่งเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ ซึ่งมีมูลค่ากว่า 600,000 ล้านบาท/ปี
ประเทศไทย โดยหน่วยงานความมั่นคงทุกหน่วยงาน กระทรวง DE กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการต่างประเทศ เร่งดำเนินการปราบปรามอย่างเด็ดขาดตามแนวชายแดน โดยได้กำหนดมาตรการ ดังนี้
ด้านความมั่นคง จะเพิ่มความเข้มงวดในการควบคุมการเข้า-ออก จุดผ่านแดน ทั้งการจำกัดเวลาเปิด-ปิดด่านชายแดน 7 จังหวัด ห้ามรถยนต์ และบุคคล เข้า-ออก ยกเว้นในกรณีมีเหตุจำเป็นชัดเจน เช่น นักเรียน นักศึกษา และคนป่วย นอกจากนี้ ห้ามให้นักท่องเที่ยวต่างชาติ เข้าไปเล่นการพนันในพื้นที่ชายแดน รวมถึงการเข้มงวดการเดินทางโดยเครื่องบินไปยังเสียมราฐ เพื่อไปเล่นการพนัน
ด้านอาชญากรรมทางเทคโนโลยี กระทรวง DE โดยศูนย์ AOC จะดำเนินการตรวจสอบบัญชีม้า และเส้นทางการเงิน ที่เกี่ยวข้องกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ข้ามชาติอย่างเข้มงวด
รวมถึงการระงับการบริการอินเทอร์เน็ต และประตูอินเทอร์เน็ตใต้น้ำ ที่ไปยังหน่วยงานทางการทหาร และความมั่นคงของรัฐบาลกัมพูชาทั้งหมด
นอกจากนี้ จะต้องร่วมมือกับทางปปง. ในการสร้างมาตรการคว่ำบาตรผู้ที่เป็นอาชญากรข้ามชาติ ที่พบว่ามีการฟอกเงิน รวมถึงการยึด หรืออายัดทรัพย์สินที่โยกย้ายไปต่างประเทศด้วย
ด้านการส่งออกไฟฟ้า น้ำมัน และสินค้าผ่านชายแดน ต้องระงับการส่งออกสินค้าที่เกื้อหนุนต่อกิจกรรมของกลุ่มอาชญากรรมข้ามชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพิจารณาถึงความเหมาะสมในการระงับการส่งออกน้ำมันเชื้อเพลิงไปยังกัมพูชา ที่จะนำเอาไปใช้ในกิจกรรมที่ผิดกฎหมาย
ด้านการพาณิชย์ กระทรวงพาณิชย์ มีมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร และ SME ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ชายแดน โดยขอความร่วมมือกับภาครัฐ และภาคเอกชนในการรับซื้อสินค้า
ขณะที่ด้านการประสานความร่วมมือกับนานาชาติ กระทรวงการต่างประเทศ จะประสานกับประเทศต่างๆ และองค์กรระหว่างประเทศ ในการปราบปรามเครือข่ายอาชญากรรมทางเทคโนโลยี โดยให้ไทยเป็นศูนย์กลางปฏิบัติการร่วมในภูมิภาค
นายกรัฐมนตรี ย้ำว่า ได้ให้ทุกภาคส่วนในการกำหนด timeline และตั้ง KPI ในการดำเนินมาตรการอย่างชัดเจน โดยขอให้ภายใน 3 เดือน สถิติการแจ้งความของคนไทย ความเสียหาย การยึดทรัพย์ และการดำเนินคดีเครือข่าย จะต้องเห็นผลลดลงอย่างเป็นรูปธรรม
พร้อมย้ำว่ารัฐบาลให้ความสำคัญกับปัญหานี้ที่จะต้องเร่งแก้ไขให้หมดไปโดยเร็ว และให้มีการสื่อสารที่ถูกต้องกับพี่น้องประชาชน
เมื่อถามว่าธุรกิจไทยที่ลงทุนอยู่ในกัมพูชาควรปฏิบัติตัวอย่างไร นายกรัฐมนตรี ระบุว่า ธุรกิจของคนไทยที่อยู่ในกัมพูชา เราสนับสนุนทั้งทางการฑูตอย่างเต็มที่ และไม่ได้มีความรุนแรงเกิดขึ้น อย่างเมื่อผ่านมามีทางกัมพูชาประกาศไม่ซื้อน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ ซึ่งเป็นเรื่องตรงชายแดน แต่หากมีการลุกลามมากขึ้น หรือไม่รับน้ำมันมากยิ่งขึ้นก็จะยิ่งเป็นปัญหา ซึ่งผู้นำของทางกัมพูชาจะต้องเป็นกำหนดราคาน้ำมัน หากไม่รับจากของไทยก็จะทำให้ราคาน้ำมันสูงขึ้น ซึ่งตนก็ไม่ทราบได้ว่ากัมพูชาจะจัดการเรื่องนี้อย่างไรซึ่งถือค่าใช้จ่ายก็จะถูกที่ประชาชนในประเทศเขาและประชาชนคนไทยที่อยู่ในกัมพูชาจะได้รับผลกระทบ
ส่วนมีการสำรวจธุรกิจอื่นๆของคนไทยอยู่ในกัมพูชาหรือไม่ นายกรัฐมนตรี ระบุว่า มีการสำรวจทั้งหมด แต่ที่แจ้งมาในฐานข้อมูลส่วนใหญ่ธุรกิจที่ทำอยู่ในกัมพูชาจะเป็นประเภทโรงแรมเป็นส่วนมาก และอยู่ในตัวเมือง ซึ่งตรงชายแดนยังไม่ค่อยมี และส่วนที่เป็นผลกระทบต่อคนไทยที่อยู่ในฝั่งเรา ทั้งในเรื่องของเกษตรกร และธุรกิจSMEs ต่างๆ.ทั้งภาครัฐและภาคเอกชนก็พร้อมที่จะสนับสนุนและช่วยซื้อสินค้าของประชาชน
เรื่องความมั่นคงตามแนวชายแดน นายกรัฐมนตรีได้มอบบทบาทอะไรเพิ่มหรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ได้มีการมอบอำนาจ ในทึ่ประชุมสมช.ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา มอบการควบคุมชายแดนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และให้พิจารณาจากหน้างาน ว่าหากเกิดอะไรขึ้นให้อำนาจทางทหารช่วยดูว่าควรจะปิดหรือเปิดด่านอย่างไร
เมื่อถามถึงตัวเลขที่คนไทยถูกหลอกเงินมีมูลค่าความเสียหายเท่าใดนั้น นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า หากดูจากตัวเลขขบวนการคอลเซ็นเตอร์เสียหายประมาณ 30,000 ล้าน หลังจากที่มีการปราบปรามอย่างจริงจัง แต่ยังไม่มีตัวเลขของผู้เสียหาย แต่ในส่งนของคนไทยเสียหายมูลค่าวันละ 80 ล้านบาท
ด้านพลตำรวจเอกธัชชัย ปิตะนีละบุตร จเรตำรวจแห่งชาติกล่าวว่า นโยบายที่ดำเนินการตามที่นายกฯมอบหมายคือการตั้งศูนย์วอร์รูมในการประเมินสถานการณ์ในทุกวัน โดยมีหน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้องร่วมกันทำงาน ขณะเดียวกันก็มีหน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้องทั่วโลกมาร่วมทำงานวอร์รูมนี้ ไม่ว่าจะเป็นองค์การตำรวจอาชญากรรมระหว่างประเทศ และตำรวจอาเซียน เพื่อให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางในการช่วยเหลือปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์โดยเฉพาะในประเทศกัมพูชา เพราะถือเป็นแหล่งแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่ใหญ่ที่สุดในกลุ่มประเทศเพื่อนบ้าน และมีการเคลื่อนย้ายจากเมียวดีประเทศเมียนมามาที่กัมพูชา
นอกจากนี้จะมีการขยายผลสืบสวนบุคคลที่เกี่ยวข้องที่อยู่ในกัมพูชาที่เกี่ยวข้องกับการให้ที่ตั้งแก๊งคอลเซ็นเตอร์ รวมทั้งผู้ที่เกี่ยวข้องทางด้านการเงินก็จะมีการสืบสวนและขยายผลเพื่อขอหมายจับต่อไป
สำหรับความร่วมมือจากองค์กรนานาชาติจะมีความเข้มข้นขนาดไหน ตนเป็นหัวหน้าชุดเฉพาะกิจของสำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ หรือ ยูเอ็นโอดีซี (UNODC)อยู่แล้วเรามีการประชุมอย่างต่อเนื่องซึ่งเป็นไปในทิศทางที่ดี ขณะที่อินเตอร์โพลเราเป็นสมาชิก เช่นเดียวกับกัมพูชาก็ก็จะมีกลไกในการขับเคลื่อนในการช่วยเหลือในการปฏิบัติการปราบปรามต่างๆ
ส่วนของตำรวจอาเซียนก็จะมีการประชุมช่วงสิ้นเดือนกรกฎาคมนี้ซึ่งประเด็นหลักที่มีการพูดถึงก็คือเรื่องการปราบรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ โดยมีเป้าหมายเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลซึ่งกันและกันว่าคนที่ถูกหลอกในประเทศต่างๆว่าแก๊งคอลเซ็นเตอร์อยู่ที่ไหนซึ่งจะช่วยให้ปรับได้ง่าย
ด้านพลเอกทรงวิทย์ หนุนภักดี ผู้บัญชาการทหารสูงสุดระบุว่า ตามมาตรการ Seal Stop Safe ต้องลาดตระเวนตามจุดช่องทางธรรมชาติเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อมีปัญหาชายแดนซึ่ง ปัญหาที่ใหญ่ การจัดการในการป้องกันประเทศจะต้องมีกำลังที่สอดคล้องกับปัญหาที่เพิ่มมากขึ้น
นอกจากนี้ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ขอให้บูรณาการการทำงานตามแนวชายแดน ซึ่งทุกวันนี้กองกำลังป้องกันประเทศมีการบูรณาการในหน่วยความมั่นคง ทั้งทหารและตำรวจตามแนวชายแดน ส่วนที่เป็นของข้าราชการพลเรือนจะมีศูนย์สำคัญจังหวัดโดยผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้ปฏิบัติราชการ เพราะฉะนั้น 2 เรื่องนี้จะต้องส่งผ่านข้อมูลกันทุกวันในการแก้ไขปัญหาตามแนวชายแดน
นอกจากนี้ยังมีการสนับสนุนแนวของ คณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (RBC) และ คณะกรรมการเขตแดนร่วม (JBC) เพื่อช่วยกันในการปราบปรามอาชญากรรมที่เป็นปัญหาของโลก
ส่วนจะต้องมีการปรับอะไรเป็นกรณีพิเศษหรือไม่ พล.อ.ทรงวิทย์ กล่าวว่า ต้องหาว่าช่องทางธรรมชาติมีจุดใดบ้าง หากดูจากข่าว 2-3 วันที่ผ่านมามีการจับกุมผู้ที่ข้ามทางช่องทางธรรมชาติได้มากขึ้นและมีการวางสิ่งกีดขวางมากยิ่งขึ้น ซึ่งต้องสนับสนุนซึ่งกันและกันระหว่างเจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายและเจ้าหน้าที่ทหารตามแนวชายแดน
ข่าวที่เกี่ยวข้อง