คณะผู้พิพากษา 3 คน จากศาลการค้าระหว่างประเทศ ในนิวยอร์ก มีคำตัดสินเมื่อวานตามเวลาท้องถิ่น ( 28 พฤษภาคม) ว่า คำสั่งว่าด้วยภาษีศุลกากรตอบโต้ทั่วโลก ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เป็นการใช้อำนาจเกินขอบเขตประธานาธิบดี ศาลระบุว่า รัฐธรรมนูญสหรัฐฯให้อำนาจพิเศษแก่สภาคองเกรส ในการคุมระเบียบการค้ากับประเทศต่าง ๆ เพื่อปกป้องเศรษฐกิจของสหรัฐฯ อำนาจฉุกเฉินของประธานาธิบดีไม่สามารถนำมาใช้เพื่อวัตถุประสงค์นี้ได้
ผู้พิพากษาระบุด้วยว่า ศาลไม่ได้ตัดสินว่า การตั้งภาษีศุลกากรของประธานาธิบดีเพื่อประโยชน์ทางการค้า เป็นความฉลาดหรือมีประสิทธิภาพหรือไม่ แต่เป็นเพราะกฎหมายของรัฐบาลกลาง ไม่อนุญาตให้ทำได้
คำตัดสินมีขึ้นหลังจากศาลพิจารณาสองคำฟ้อง โดยศูนย์ ลิเบอร์ตี้ จัสติส ที่ยื่นฟ้องในนามของธุรกิจขนาดเล็ก 5 ราย ที่นำเข้าสินค้าจากประเทศที่ถูกเรียกเก็บภาษีนำเข้าแบบตอบโต้ กับคำฟ้องในนาม 13 รัฐ
บริษัทที่ยื่นฟ้อง ซึ่งมีทั้งผู้นำเข้าไวน์และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในนิวยอร์ก และผู้ผลิตอุปกรณ์การเรียนและเครื่องดนตรีในเวอร์จิเนีย ระบุว่า ภาษีศุลกากรของรัฐบาลทรัมป์ กระทบความสามารถในการทำธุรกิจของพวกเขาอย่างรุนแรง
แดน เรย์ฟีลด์ อัยการรัฐออริกอน จากพรรคเดโมแครต ซึ่งสำนักงานของเขาเป็นแกนนำ 13 รัฐที่ยื่นฟ้องศาล ระบุว่า มาตรการภาษีศุลกากรของทรัมป์ ผิดกฎหมาย ขาดความยั้งคิด และเป็นหายนะทางเศรษฐกิจ คำตัดสินใจของศาลตอกย้ำว่า กฎหมายมีความสำคัญ และประธานาธิบดีไม่สามารถตัดสินใจทางการค้าได้ตามอำเภอใจ
ขณะเดียวกัน ยังมีอีก 5 คำฟ้องในเรื่องภาษีนำเข้าของรัฐบาลทรัมป์ ยังค้างอยู่ในศาล
ทั้งนี้ ทรัมป์อ้างว่า มีอำนาจในการกำหนดอัตราภาษี ภายใต้กฎหมายอำนาจทางเศรษฐกิจฉุกเฉินระหว่างประเทศ หรือ IEEPA ( International Emergency Economic Powers Act) ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้รับมือกับภัยคุกคามพิเศษและผิดปกติ ภายใต้สถานการณ์ฉุกเฉินของประเทศชาติ
ประธานาธิบดีสหรัฐฯเคยใช้กฎหมายฉบับนี้ ออกมาตรการแซงชั่นศัตรูสหรัฐฯ หรืออายัดทรัพย์สินมาก่อน แต่ทรัมป์เป็นผู้นำสหรัฐฯคนแรกที่ใช้ในการตั้งกำแพงภาษี
กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ระบุก่อนหน้านี้ว่าควรยกฟ้องคดีเหล่านี้ เพราะผู้ฟ้องหรือโจทก์ ไม่ได้รับผลกระทบจากภาษีศุลกากรที่พวกเขายังไม่ได้จ่าย และมีแต่สภาคองเกรสเท่านั้นที่สามารถแย้งการประกาศใช้มาตรการฉุกเฉินภายใต้ EEPA ของประธานาธิบดีได้ ไม่ใช่ธุรกิจเอกชน
คำตัดสินของศาลในวันที่ 28 พฤษภาคม สามารถอุทธรณ์ได้ และอาจไปถึงศาลสูงสุด
ทรัมป์ประกาศมาตรการภาษีศุลกากรแบบตอบโต้ เมื่อ 2เมษายน โดยเรียกว่า เป็นวันปลดแอก และเรียกการขาดดุลการค้า ว่าเป็นสถานการณ์ฉุกเฉินของประเทศชาติ โดยตั้งอัตราภาษีพื้นฐานที่ 10% เป็นการทั่วไป ส่วนประเทศที่สหรัฐฯขาดดุลการค้าสูง จะถูกเรียกเก็บภาษีนำเข้าในอัตราสูงลิ่ว อ้างว่าเพื่อฟื้นฟูความสามารถในการผลิตของสหรัฐฯ แต่ต่อมา ชะลอการบังคับใช้ไว้ก่อนเป็นส่วนใหญ่ ระหว่างรอการเจรจาทำความตกลงการค้ากันใหม่
CNN รายงานว่า รัฐบาลทรัมป์ได้ยื่นอุทธรณ์ทันที หลังศาลมีคำตัดสินว่าประธานาธิบดีทรัมป์ใช้อำนาจเกินขอบเขต ในการประกาศใช้มาตรการภาษีศุลกากร เมื่อ 2 เมษายน ส่อเป็นศึกยืดเยื้อกว่าจะได้ข้อสรุปเด็ดขาดว่า ภาษีศุลกากรของทรัมป์จะได้ไปต่อหรือไม่ และอาจเปลี่ยนโฉมเศรษฐกิจโลกอีกครั้งหนึ่ง ขณะเดียวกัน ก็จะทำให้ผู้บริโภค และภาคธุรกิจ ตกอยู่ในความไม่แน่นอนต่อไป
ก่อนหน้านั้น คุช เดไซ โฆษกทำเนียบขาว ออกแถลงการณ์โจมตีผู้พิพากษาที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง แต่กลับมาตัดสินว่า การรับมือสถานการณ์ฉุกเฉินของชาติอย่างไรจึงจะเหมาะสม
แถลงการณ์ระบุว่า การปฏิบัติแบบไม่ต่างตอบแทนของประเทศต่าง ๆ ต่อสหรัฐฯ ทำให้สหรัฐฯขาดดุลการค้าเป็นประวัติการณ์และอย่างต่อเนื่อง การขาดดุลเหล่านี้ ถือเป็นความฉุกเฉินระดับประเทศ ที่ทำลายชุมชนชาวอเมริกัน ทิ้งคนงานไว้ข้างหลัง และบั่นทอนฐานอุตสาหกรรมของสหรัฐฯ ล้วนเป็นข้อเท็จจริงที่ศาลไม่เคยโต้แย้ง การตัดสินใจว่า ควรรับมือสถานการณ์ฉุกเฉินอย่างไรจึงเหมาะสม ไม่ใช่ภารกิจของผู้พิพากษาที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ให้คำมั่นว่าจะอเมริกาต้องมาก่อน รัฐบาลจึงมุ่งมั่นใช้ทุกอำนาจฝ่ายบริหารที่มี เดินหน้าแก้ไขวิกฤติเหล่านี้ และฟื้นฟูความยิ่งใหญ่ของอเมริกา