มติสภาฯผ่านฉลุย 3 วาระรวด เปลี่ยนชื่อ “สนง.ทรัพย์สินพระมหากษัตริย์” เป็น “สำนักงานพระคลังข้างที่”

สภาฯ มีมติผ่านฉลุย 3 วาระรวด เปลี่ยนชื่อ สำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ เป็น สำนักงานพระคลังข้างที่ ด้าน เท้ง ยืนเดี่ยวฝ่ายค้าน ไม่ขัดข้องเปลี่ยนชื่อ แต่ไม่เห็นด้วย ครม. เร่งรัดกว่าปกติ ชี้กฎหมายนี้สำคัญ ควรรอบคอบ ก่อน ชลน่าน ลุกแจง ตั้ง กมธ. เต็มสภาได้ ไม่มีอะไรซับซ้อน

มติสภาฯผ่านฉลุย 3 วาระรวด เปลี่ยนชื่อ “สนง.ทรัพย์สินพระมหากษัตริย์” เป็น “สำนักงานพระคลังข้างที่” – Top News รายงาน

มติสภาฯ

เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2568 เวลา 13.10 น. ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 1 สมัยวิสามัญ เป็นพิเศษ วาระพิจารณาร่าง พ.ร.บ.จัดระเบียบทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ โดยมีสาระสำคัญคือ เปลี่ยนชื่อสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ เป็น สำนักงานพระคลังข้างที่ นายชูศักดิ์ ศิรินิล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นตัวแทนคณะรัฐมนตรี แถลงหลักการและเหตุผลต่อที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร โดยร้องขอให้ที่ประชุมใช้กระบวนการพิจารณาแบบกรรมาธิการเต็มสภา ทั้ง 3 วาระ

ทั้งนี้ มีผู้ประสงค์จะอภิปรายเพียง 1 คน คือ นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคประชาชน ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร โดยระบุว่า เมื่อได้ทราบว่า ครม. จะเสนอร่าง พ.ร.บ.จัดระเบียบทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ฉบับนี้เข้าสู่สภา ก็ให้ความสนใจเป็นพิเศษ เพราะร่างกฎหมายฉบับนี้ไปเกี่ยวข้องกับทรัพย์สินของแผ่นดินที่สำคัญอย่างยิ่ง คือเป็นทรัพย์สินของสถาบันพระมหากษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตั้งแต่ 20 ปีที่แล้ว มีการประเมินไว้ว่า ทรัพย์สินในส่วนนี้มีมูลค่ามากกว่า 1 ล้านล้านบาท

ร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ เป็นการแก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.จัดระเบียบทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ ที่บัญญัติขึ้นตั้งแต่ยุครัฐบาล คสช. ปี 2561 ส่งผลให้การบริหารจัดการและดูแลพระราชทรัพย์เปลี่ยนแปลงไปอย่างมีนัยสำคัญ ตั้งแต่ชื่อเรียก Crown Property หรือทรัพย์สินของสถาบันพระมหากษัตริย์ ที่เคยเรียกกันว่า ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ในรัชสมัยก่อนหน้านี้ ก็ได้เปลี่ยนเป็นทรัพย์สินในพระมหากษัตริย์ และทรัพย์สินส่วนพระองค์ ก็เปลี่ยนเป็นคำว่า ทรัพย์สินในพระองค์ รวมถึงการดูแลพระราชทรัพย์ทั้ง 2 ส่วน ก็เปลี่ยนไปด้วย คือ ในรัชสมัยก่อนหน้านี้ การดูแลทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ จะแยกกันกำกับดูแลจากทรัพย์สินส่วนพระองค์ คือแยกกันดู การดูแลทรัพย์สินส่วนพระองค์จะเป็นไปตามพระราชอัธยาศัย

“แต่การดูแลทรัพย์สินของสถาบันฯ นั้น จะดูแลโดยสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ แต่ผลของกฎหมายยุค คสช. ทำให้เส้นแบ่งนี้เลือนลงไป โดยเปลี่ยนเป็นสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ โดยดูแลและบริหารพระราชทรัพย์ทั้ง 2 ส่วน ไม่ว่าทรัพย์สินส่วนพระองค์ หรือทรัพย์สินที่เป็นส่วนของสถาบันฯ ล้วนแต่ให้เป็นไปตามพระราชอัธยาศัย พระองค์จะทรงมอบหมายให้สำนักงานฯ บุคคลใด หน่วยงานใด เป็นผู้จัดการพระราชทรัพย์ทั้ง 2 ส่วนก็ได้“

 

ข่าวที่น่าสนใจ

อย่างไรก็ตาม สำหรับพระราชทรัพย์ในส่วนของสถาบันฯ นั้น เราจะมีวิธีบริหารจัดการดูแลอย่างไร ให้สถาพรที่สุดเพื่อธำรงไว้ซึ่งพระเกียรติยศและพระราชสถานะ ภายใต้ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข แต่ไม่ใช่ประเด็นที่จะมาถกเถียงกันในวันนี้ เพราะร่างกฎหมายที่รัฐบาลเสนอมาวันนี้ ไม่ได้มีเนื้อหาที่จะกระทบกับการเปลี่ยนแปลงการบริหารจัดการพระราชทรัพย์ทั้ง 2 ส่วน เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงสาระสำคัญที่ตนได้กล่าวมานั้น ได้ทำไปเสร็จสิ้นแล้วตั้งแต่ยุครัฐบาล คสช.

สาระสำคัญจริงๆ ของกฎหมายฉบับนี้เป็นเพียง การเปลี่ยนชื่อจากสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ ตามกฎหมายปี 2561 ไปเป็น สำนักงานพระคลังข้างที่ แต่เพียงเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ พวกตนไม่ได้มีประเด็นอะไรที่จะคัดค้านร่างกฎหมายฉบับนี้ที่รัฐบาลเสนอมา ในฐานะผู้แทนราษฎรคนหนึ่ง อยากให้การเสนอร่างกฎหมายฉบับนี้เป็นไปตามกระบวนการนิติบัญญัติปกติ ไม่อยากให้เสนอกฎหมายฉบับนี้ด้วยกระบวนการพิเศษ เช่น การพิจารณา 3 วาระรวดผ่านกรรมาธิการเต็มสภา ให้จบเพียงแค่ 1 วัน ที่ ครม. เสนอมา เพราะถ้ายิ่งเป็นร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับสถาบันที่เป็นพระประมุขของชาติ สภาของเรายิ่งต้องควรพิจารณาอย่างถี่ถ้วนรอบคอบ ต้องระมัดระวังไม่ให้เกิดความเคลือบแคลงสงสัย หรือการตั้งคำถามในหมู่ประชาชน

“ขอยืนยันว่า ผู้แทนราษฎรของพรรคประชาชน จะทำหน้าที่พิทักษ์ปกป้องระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือ Constitutional Monarchy หรือประชาธิปไตยที่พระมหากษัตริย์อยู่ใต้รัฐธรรมนูญ เราจะระมัดระวังไม่ให้กฎหมายใดถูกติฉินนินทา หรือมีข้อครหาได้ว่า มีใครที่มีความพยายามทำให้หลุดพ้นไปจากกรอบที่ว่านี้ ที่พระมหากษัตริย์ต้องทรงปกเกล้า แต่ไม่ปกครอง อันเป็นการรักษาพระราชสถานะของประมุข ให้ปราศจากจากการเมืองอย่างแท้จริง”

 

 

ดังนั้น ถึงแม้พวกตนจะสามารถรับหลักการในร่าง พ.ร.บ. ฉบับนี้ได้ แต่ก็ไม่อาจเห็นด้วยกับกระบวนการที่ ครม. เสนอให้มีการใช้คณะกรรมาธิการเต็มสภา เพื่อเร่งรัดกระบวนการในการพิจารณากฎหมายฉบับนี้ พร้อมเสนอประธานสภาตามข้อบังคับการประชุมที่ 120 วรรค 2 อาจจะมีการเขียนเป็นลายลักษณ์อักษรที่วรรคตอนไม่ชัดเจน ที่เขียนไว้ว่าเมื่อ ครม. ร้องขอ หรือ สส. 20 คนเสนอญัตติ และที่ประชุมอนุมัติ อยากเสนอให้ประธานทำหน้าที่วินิจฉัยให้เด็ดขาด ว่าคำว่า “และที่ประชุมอนุมัตินี้” บังคับใช้กับกรณีที่ ครม. เสนอมาด้วยหรือไม่ ต้องเกิดความชัดเจนในเรื่องนี้ เพื่อให้การผ่านร่างกฎหมายฉบับนี้มีความรอบคอบและรัดกุม

ด้าน นายจุติ ไกรฤกษ์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรครวมไทยสร้างชาติ ลุกขึ้นอภิปรายต่อโดยขอใช้สิทธิ์เห็นต่าง ว่า ตนเคารพความเห็นของผู้นำฝ่ายค้าน แต่ตนโตมาในระบบที่เชื่อและเคารพในอุดมการณ์ ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ สำคัญต่อระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขอย่างยิ่ง ตนไม่เคลือบแคลงใน พ.ร.บ.ฉบับนี้แม้แต่น้อย เนื้อหากฎหมายฉบับนี้หลายคนอาจจะเห็นว่าเป็นทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ แต่ทั้งหมดเป็นไปเพื่อประโยชน์ของชาติและประชาชน

คำที่ว่า “บริหารทรัพย์สินตามพระราชอัธยาศัย“ ประวัติศาสตร์ ชี้ให้เห็นว่า คนไทยทั้งประเทศได้ประโยชน์ เนื่องจากรัฐบาลอาจจะมีงบประมาณไม่เพียงพอดูแลไม่ทั่วถึง โดยยกตัวอย่างเด็กชาติพันธุ์ตามตะเข็บชายแดน จำนวน 37,000 คน พระมหากษัตริย์ก็ทรงดูแลผ่านมูลนิธิและพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์

ส่วนเครื่องพิสูจน์ว่าการบริหารงานนั้นโปร่งใสหรือไม่ จะเห็นได้จากกรณีที่โรงพยาบาลสมเด็จยุพราชเดชอุดม เกิดเหตุไฟไหม้ รัฐบาลยังไม่ได้ส่งอะไรไปช่วย แต่ท่านได้พระราชทานทรัพย์ส่วนพระองค์ไปช่วยเหลือแล้ว 20 กว่าล้าน เพื่อให้โรงพยาบาลกลับมาเป็นประโยชน์ต่อประชาชนและอำเภอใกล้เคียง

นอกจากนี้ การบริหารตามพระราชอัธยาศัย มีบันทึกไว้ของกระทรวงมหาดไทยและกระทรวงสาธารณสุขว่า โรงพยาบาลและสถานราชทัณฑ์ 44 แห่ง ได้รับพระราชทานทรัพย์ส่วนพระองค์ 2,852 ล้านบาท และสิ่งที่พระองค์ไม่ประสงค์ให้คนไทยรู้คือ รถตรวจเชื้อและวิเคราะห์ผลโควิด-19 กว่ากระทรวงสาธารณสุขจะประกาศ TOR คนไทยคงติดเชื้อตายกันเป็นเบือ ท่านทอดพระเนตรเห็นว่าเหตุการณ์เช่นนั้นจะเกิดขึ้น หากไม่เข้ามาช่วยเหลือ

ประเทศมหาอำนาจที่ผลิตวัคซีนและยาแก้โรคติดต่อ มีคนเสียชีวิตมากกว่าคนไทย 25 เท่า มีคนติดเชื้อโควิด-19 มากกว่าประเทศไทย 35 เท่า ต้องขอบคุณกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน อาสาสมัครสาธารณสุข แพทย์ พยาบาล ทหารที่ช่วยให้วิกฤตดับลงไปได้

 

นายจุติ ถามในที่ประชุมว่า มีใครทราบหรือไม่ รถเก็บเชื้อโควิด-19 สามารถเก็บเชื้อจากคนไทยได้ 313,000 คน ซึ่งมีรถพระราชทาน 20 คัน มีรถขนด่วนภายใน 3 ชั่วโมง ช่วยจำกัดการกระจายของโรคได้อย่างรวดเร็ว เงินกี่พันล้านที่รักษาประโยชน์ของคนไทยไว้ได้

“พ.ร.บ.นี้ ไม่ใช่แค่เปลี่ยนชื่อเฉยๆ แต่ธำรงไว้ซึ่งความที่ประเทศชาติมั่นคง ประชาชนมีความสุข พิสูจน์แล้วว่าไม่สงสัยเคลือบแคลงในกฎหมายฉบับนี้ และเป็นประโยชน์ต่อประชาชนแน่นอน”

ต่อมา นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว สส.น่าน พรรคเพื่อไทย ลุกขึ้นอภิปรายว่า ร่าง พ.ร.บ.จัดระเบียบทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ ผู้เสนอมีหลักการและเหตุผลตามที่ ครม. ได้นำเสนอต่อรัฐสภา ที่แจ้งต่อสภาตามข้อบังคับ 120 กรณีที่จะพิจารณาในชั้นกรรมาธิการ ครม. ขอให้สภามีมติพิจารณา 3 วาระ คือ ตั้งกรรมาธิการเต็มสภา เป็นการพิจารณาไปตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญที่เคยรองรับไว้ วาระที่ 1 รับหลักการ วาระที่ 2 ชั้นกรรมาธิการ และวาระที่ 3 ชั้นให้ความเห็นชอบกับร่าง พ.ร.บ. ฉบับนี้หรือไม่ ก่อนที่จะส่งไปให้วุฒิสภาพิจารณาต่อ

 

โดยการทำตามลำดับขั้นตอนนี้ แม้ในที่ประชุมรัฐสภาจะมีมติเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบกับการตั้งกรรมาธิการเต็มสภา หรือการพิจารณา 3 วาระในคราวเดียวกัน อาจจะต้องขอมติ เพราะมีสมาชิกไม่เห็นด้วยที่จะพิจารณา 3 วาระ ให้เป็นไปตามกระบวนการปกติ และควรจะพิจารณา 3 วาระ ซึ่งต้องขอความเห็นว่าจะพิจารณาโดยอาศัยกรรมาธิการเต็มสภา ให้สมาชิกทุกคนเป็นหรือไม่ หากเห็นชอบจะพิจารณาในชั้นกรรมธิการเต็มสภา

ดังนั้น ต้องขอความเห็นว่าเห็นชอบกับการพิจารณา โดยตั้งกรรมาธิการเต็มสภาหรือไม่ และเมื่อเข้าสู่การพิจารณาต้องเข้าสู่วาระที่หนึ่ง ชั้นรับหลักการ จะมีผู้อภิปรายเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบก็เป็นหน้าที่ของสภา หากสภาไม่มีผู้อภิปรายหรือมีผู้เห็นชอบต่อหลักการ ก็ต้องถามมติว่าเห็นชอบต่อหลักการหรือไม่ หรือไม่เห็นชอบ และต่อกรรมาธิการเต็มสภา
ตามที่มีมติ และจะเข้าสู่วาระที่สาม จะเห็นชอบกับการเสนอร่าง แม้จะต้องเต็มสภาก็ต้องทำตามระเบียบวาระ ทำตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญที่เขียนไว้ว่า การพิจารณาร่าง พ.ร.บ. ต้องพิจารณา 3 วาระ

นพ.ชลน่าน กล่าวอีกว่า การพิจารณาด้วยกรรมาธิการเต็มสภา พิจารณาในวาระที่ 1 และ 2 ในคราวเดียวกัน เนื่องจากร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้หลักการที่เสนอเข้ามาโดย ครม. เป็นเพียงการเปลี่ยนแก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.จัดระเบียบทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ พ.ศ. 2561 เพื่อเปลี่ยนชื่อสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ เป็นสำนักงานพระคลังข้างที่ และโอนกิจการของสำนักพระราชวัง เฉพาะส่วนงานพระคลังข้างที่ เป็นของสำนักพระคลังข้างที่ ซึ่งมีอยู่ 6 มาตรา

“ดังนั้น การพิจารณาในชั้นกรรมาธิการ ช่วยกันพิจารณาได้ ไม่ยุ่งยากซับซ้อนอะไร ไม่เกี่ยวเนื่องกับการบริหารทรัพย์สินใดๆ ประเด็นที่มีสมาชิกพูดถึงการบริหารทรัพย์สิน ใช้ประโยชน์ทรัพย์สิน การจัดการทรัพย์สิน เป็นการพูดนอกประเด็น ประธานสภา ต้องระมัดระวังอะไรที่นอกประเด็น ไม่ควรให้อภิปราย ต้องอยู่ในประเด็นเท่านั้นจะให้เปลี่ยนหรือไม่ให้เปลี่ยน ถ้าไม่เห็นด้วยก็บอกไม่เห็นด้วย ให้กลับไปเป็นสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์เหมือนเดิมก็ว่าไป แต่จะก้าวล่วงการบริหารทรัพย์สิน มันคือเรื่องนอกประเด็น”

นพ.ชลน่าน ย้ำว่า ตนเห็นด้วยกับการตั้งกรรมาธิการเต็มสภา ไม่มีอะไรซับซ้อนอยู่ในตัวบททั้งหมด

นายณัฐพงษ์ ขอใช้สิทธิชี้แจงเพราะเกรงว่าจะมีความเข้าใจผิด ซึ่งตนพูดชัดเจนว่า สาระสำคัญของร่างกฎหมายฉบับนี้คือการเปลี่ยนชื่อเท่านั้น ผู้ที่อภิปรายนอกประเด็นอาจเป็น นายจุติ ไกรฤกษ์ มากกว่า ขอยืนยันว่าพวกเราไม่ได้คัดค้าน และเห็นด้วยกับการรับหลักการร่าง พ.ร.บ.นี้ เพียงแต่ไม่เห็นด้วยกับกระบวนการที่ ครม. จะเร่งรัดเท่านั้น ขอบคุณ นพ.ชลน่าน ที่ทำให้ชัดเจนมากขึ้นว่า การบังคับใช้ข้อบังคับที่ 120 วรรค 2 จะต้องอาศัยมติของที่ประชุม

จากนั้น นายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 1 ทำหน้าที่ประธานการประชุมขณะนั้น จึงเรียกให้มีการลงมติ ผลการลงมติของสมาชิกที่ประชุม 453 เสียง เสียงเห็นชอบ 451 เสียง และงดออกเสียง 2 เสียง

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ข่าวล่าสุด

"สมศักดิ์" แจงเหตุวีโต้ "มติแพทยสภา" ยันไร้ใบสั่ง ช่วย 3 หมอ ไม่หวั่นโดนยื่นถอดถอน
"นายกฯ" บ่นเหนื่อย​ โดนสื่อซัก "ทักษิณ​" เอ่ยอยากให้เพื่อไทยคุม "ก.มหาดไทย-เกษตรฯ
"นฤมล" แจ้งข่าว​ดี​ สปป.ลาวผ่อนปรน นำเข้าโค-กระบือ-หมู จากไทย สะท้อนความเชื่อมั่นระบบควบคุมโรค
"สมศักดิ์" โพสต์ เขาคือใคร ยกข้อกม.เตือน "ทักษิณ" สื่อขอเพื่อไทยคุมมหาดไทย แทนภูมิใจไทย
จีนใช้ 'ระบบขนย้ายขนาดยักษ์' ย้ายโครงสร้างพลังงานนอกชายฝั่ง
ช้างน้ำหนัก 2 ตันโผ่ลกลางเมืองแอฟริกาใต้
"ธรรมนัส" ไม่วิจารณ์ข้ามพรรคปรับครม. ลั่นกระทรวงเกษตรฯต้องเป็นพรรคกล้าธรรม
"มทภ.2" ค้างคืนฐานช่องบก ปลุกขวัญ-กำลังใจกำลังพล มอบพระหลวงปู่ทวด-เหรียญหลวงพ่อใหญ่โชคดี พร้อมปกป้องอธิปไตย
"ทักษิณ" พูดเองต้องให้เพื่อไทยดูแล "ก.มหาดไทย" อ้างทำงานไม่ถึง เชื่อภูมิใจไทยไม่ถอนตัวร่วมรัฐบาล
เจ้าหน้าที่ปิดอุทยานแห่งชาติเขาพระวิหาร ชั่วคราว ย้ำเป็นพื้นที่สีแดง หลังเกิดเหตุปะทะช่องบก ห้ามบุคคลภายนอกเข้า-ออก

ดู LIVE รายการ

X

เราใช้ คุ้กกี้ เพื่อให้ทุกคนได้ประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น