ประธานมูลนิธิทนายกองทัพธรรม เดือด โพสต์ เฟซบุ๊กส่วนตัว เดือด กระตุกต่อม บก.ปอท. พม.และ สำนักพระพุทธศาสนา ปล่อยมือคดีเชื่อมจิต ไม่มีความคืบหน้าเรื่องคดีความ ไม่ร้องคัดค้าอุทธรณ์คำสั่งศาล และไม่ดำเนินการตามมติมหาเถระสมาคม จนกลุ่มบิดเบือนคำสอนพระศาสนาเริ่มคืนชีพนำเด็กกลับมาทำกิจกรรมอีกครั้ง

“ทนายอนันต์ชัย” เดือดโพสต์ ฉะแรง 3 หน่วยงาน ปล่อย “แก๊งเชื่อมจิต” คืนชีพ ปฏิบัติไม่เหมาะสม – Top News รายงาน

จากกรณี ที่ มูลนิธิทนายกองทัพธรรม เข้ายื่นหนังสือร้องเรียนและ กล่าวโทษ แก๊งเด็กลัทธิเชื่อมจิต ที่กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง(บช.ก.) จนศาลมีคำสั่งให้ คณะผู้พิพากษาศาลเยาวชนและครอบครัว จ.สุราษฎร์ธานี มีการอ่านคำสั่งคดีที่มีการร้องให้คุ้มครองสวัสดิภาพเด็ก 8 ขวบ ไม่ให้แม่และพวกรวม 2 คน ทำกิจกรรม 5 อย่าง คือ1. ห้ามทำกิจกรรมไลฟ์เกี่ยวกับการเชื่อมจิต 2. ห้ามเผยแพร่คำสอนพุทธศาสนาอันเป็นการบิดเบือน 3. ห้ามใช้สื่อต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับเด็กในการดำเนินกิจกรรมเชื่อมจิต เช่น ภาพถ่าย ภาพเคลื่อนไหว และสื่ออื่น 4. ห้ามจัดกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการเชื่อมจิต 5. ออกคำสั่งกำหนดมาตรการหรือวิธีการเพื่อคุ้มครองสวัสดิภาพเด็กตามที่ศาลเห็นสมควร
พร้อม นำเด็กไปตรวจสุขภาพที่สถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่น ภาคใต้ ภายใน 15 วัน โดยตรวจ 2 ครั้งภายใน 6 เดือน และให้แพทย์รายงานต่อศาลให้ทราบด้วย แต่ภายหลังกลับปรากฎภาพกลุ่มเชื่อมจิต นำเด็กกลับมาทำกิจกรรม ถ่ายคลิปโพสต์ลงสื่อโซเชียลฯ สร้างความงุนงงให้สังคม พร้อมคำถามว่า ลัทธิเชื่อมจิตกำลังคืนชีพกลับมาอีกแล้วใช่หรือไม่

ข่าวที่น่าสนใจ

ว่อนโซเชียล คลิปคนนั่งเข้าแถวกราบไหว้ “เด็กเชื่อมจิต” ที่วัดป่ารัตนพรชัย ชาวเน็ตสงสัยละเมิดคำสั่งศาลหรือไม่

“แม่” ออกโรงแจงปม คนกราบ “เด็กเชื่อมจิต” ชี้แค่การทำบุญ ไม่ได้ละเมิดคำสั่งศาล พ้อโดนโจมตี

วันนี้ ( 17 มี.ค. 68) มีรายงานว่า นายอนันต์ชัย ไชยเดช ทนายความและ ประธานมูลนิธิกองทัพธรรม ได้ออกมาเคลื่อนไหวผ่านเฟซบุ๊ก ส่วนตัวเกี่ยวกับกรณีดังกล่าว ระบุว่า เพิ่งเห็นข่าวคราวว่ากลับมาเคลื่อนไหวของลัทธิเชื่อมจิตอีกครั้งเมื่อวานนี้ จึงขอตั้งคำถามดังๆ ไปที่ 3 หน่วยงานของรัฐ คือ

กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) โดยระบุบางช่วงบางตอนว่า ตอนที่ทางมูลนิธิกองทัพธรรม ไปร้องทุกข์ กล่าวโทษเพื่อให้ดำเนินคดีกับลัทธิเชื่อมจิต ได้จัดทำเอกสารอย่างละเอียดและครบถ้วน สมบูรณ์และสรุปเนื้อหาให้จนพร้อมใช้งานไม่มีสิ่งใดขาดตกบกพร่อง แต่แทนที่คดีจะรวดเร็วกลับช้าและขาดช่วง ซ้ำตนเองและมูลนิธิยังติดต่อหน่วยงานไม่ได้อีกเลยตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว จนเกิดความอิดหนาระอาใจ เพราะไม่รู้ว่าบก.ปอท. จะดำเนินคดีนี้ไปในทิศทางใด และขอให้ดำเนินการให้ชัดเจนว่า จะฟ้องดำเนินคดีกับลัทธิเชื่อมจิตหรือไม่อย่างไร เพื่อที่ พี่น้องประชาชนที่ห่วงใยพระศาสนาจะได้ไปต่อถูก หากมีหน้าที่แต่กลับกระทำเช่นนี้ ต้องถือว่า ความล่าช้าคือ ความอยุติธรรม ดังนั้น จะสั่งอย่างไรก็รีบๆ ถ้าไม่ทำก็สั่งไม่ฟ้องยกเรื่องทิ้ง

หน่วยงานต่อมา คือ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ โดยสำนักงานพัฒนาสังคม และความมั่นคงของมนุษย์ จังหวัดสุราษฎร์ธานี ซึ่งมีหน้าที่ตรวจตราและดำเนินมาตรการให้มีการปฏิบัติตามคำสั่งศาลในฐานะเป็นผู้ยื่นคำร้อง ทั้งที่ทราบดีว่าแก๊งเด็กเชื่อมจิต และคณะละเมิดคำสั่งศาล และ เหตุใดไม่รีบรายงานพฤติการณ์ดังกล่าวให้ศาลทราบเพื่อขอให้ศาลมีคำสั่งบังคับหรือขยายระยะเวลาในการคุ้มครองสวัสดิภาพเด็กตามที่เห็นสมควร พวกคุณต้องปฏิบัติหน้าที่คุ้มครองสวัสดิภาพเด็กเพราะเป็นอำนาจหน้าที่คุณอย่าเฉยนะครับ

และสุดท้าย สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ได้มีการติดตามทวงถามผลคดีที่ได้มีการร้องทุกข์ กล่าวโทษก๊วนเด็กเชื่อมจิต ตามมติมหาเถรสมาคมที่ 424/2567 หรือไม่ ทั้งที่มหาเถรสมาคมออกมติว่าผิดและบิดเบือนพระไตรปิฎกอย่างชัดเจน ทางหน่วยงาน ได้ดำเนินการในเรื่องคดีอย่างไร มีการเร่งรัดและร่วมมือกับพนักงานสอบสวนหรือไม่อย่างไร หรือปล่อยเรื่องทิ้งไปเลย ผมเหนื่อยใจกับหน่วยงานแห่งนี้ #รัฐบาลควรยุบให้ไปรวมกับกรมการศาสนากระทรวงศึกษาธิการ ตามเดิมครับ อย่างน้อยที่สุดสมัยอยู่ที่นั้นวงการพระพุทธศาสนาในประเทศไทยก็เจริญรุ่งเรืองและสนองงานคณะสงฆ์เป็นอย่างดี รัฐไม่ต้องสูญเสียงบประมาณแผ่นดินเพิ่ม เมื่อแยกออกมาและมีชื่อที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะแล้วกลับมีพฤติการณ์ทองไม่รู้ร้อน อ้างเพียงว่าคอยสนองงานคณะสงฆ์ ไม่มีหน้าที่ ไม่มีอำนาจ

ทนายอนันต์ชัยยัง กล่าวต่อไปว่า ถ้า หน่วยงานข้างต้น ไม่มีอำนาจหน้าที่ปกป้องคุ้มครองพระพุทธศาสนาแล้วใครจะมีหน้าที่ มูลนิธิทนายกองทัพธรรม ประชาชนทั่วไป พี่น้องสื่อสารมวลชน และ ฯลฯ ที่เป็นเอกชนพลเมืองตาดำๆ หาเช้ากินค่ำ จะมาทำหน้าที่ปกป้องพุทธศาสนาได้อย่างไร อย่าแถครับ พวกคุณมีอำนาจ หน้าที่ ตามกฎหมายในการปกป้องคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญ เป็นนโยบายแห่งรัฐ ตามมาตรา 67 ในฐานะหน่วยงานรัฐที่มีอำนาจหน้าที่ตามกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ พ.ศ. 2557 ไล่เรียงไปเป็นข้อๆ หากยังตะแบงบอกว่า ไม่มีอำนาจหน้าที่ ตนก็อยากขอประชามติพี่น้องประชาชนสักเรื่องครับ “ยุบสำนักงานแห่งนี้ดีหรือไม่? ” ประหยัดงบประมาณรัฐไม่น้อย จะได้ไม่ต้องมากังวลกับสถานการณ์พระพุทธศาสนาที่มีภัยและบ่อนทำลายรอบด้าน ให้เป็นหน้าที่ของพวกตน มูลนิธิทนายกองทัพธรรม พี่น้องประชาชนชาวพุทธ และพี่น้องสื่อมวลชนหัวใจพุทธ ที่พร้อมเสียสละเพื่อปกป้องบ้านของพระพุทธเจ้าเพื่อส่งต่อหลักธรรมคำสอนที่บริสุทธิ์ไปยังลูกหลานในอนาคต

ทนายอนันต์ยังทิ้งท้ายว่า ถึงอย่างไร มูลนิธิทนายกองทัพธรรม จะไม่ทอดทิ้งพระพุทธศาสนา จะปกป้องพระไตรปิฎกที่จารึกพระธรรมวินัยที่เป็นตัวตนของพระพุทธศาสนา จะปกป้องคณะสงฆ์ไทยที่เป็นพระสุปฏิปันโน มิให้ผู้ใดมาปรามาสด้อยค่าและก่นด่า จะปกป้องประเพณีวัฒนธรรมอันดีงามของไทย มิให้บุคคลใดมาด้อยค่าและสร้างวาทกรรมบ่อนทำลายอันนำไปสู่การแตกสามัคคีในสังคม ดังภาษิตที่ว่า “#อย่าทำหินแตก #อย่าแยกแผ่นดิน”

ดังนั้น หากก๊วนเชื่อมจิต จะกลับมา โดยไม่มีหน่วยงานใดทำงานเพื่อพุทธศาสนา ก็ต้องเป็นหน้าที่ของพวกเราชาวพุทธที่จะต้องร่วมด้วยช่วยกัน อย่างมุ่งมั่น สามัคคี ด้วยจิตใจอันบริสุทธิ์ที่จะปกป้องพระธรรมวินัยและส่งต่อ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง