โฆษกปปง. ยันคดีแพ่งยังเดินหน้าต่อ แม้ศาลสั่งยกฟ้อง ‘ตู้ห่าว-พร้อมพวก 19 คน’

“โฆษก ปปง.” เผย แม้ศาลอาญายกฟ้อง “ตู้ห่าว และพวก 19 คน” คดีฟอกเงิน และยาเสพติด แต่คดีแพ่ง กรณีทรัพย์สินซึ่งเคยถูกยึดยังเดินหน้าต่อไป ไม่จำเป็นต้องยกตามกันโดยอัตโนมัติ

โฆษกปปง. ยันคดีแพ่งยังเดินหน้าต่อ แม้ศาลสั่งยกฟ้อง ‘ตู้ห่าว-พร้อมพวก 19 คน’

 

ข่าวที่น่าสนใจ

หลังจากที่เมื่อวานนี้ (11 ก.พ.68) ศาลอาญากรุงเทพใต้ อ่านคำพิพากษาคดีที่อัยการ สำนักงานคดียาเสพติด 4 เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายฮวง ไฮ่ เท่า จำเลยที่ 1 นายชัยณัฐร์ กรณ์ชายานันท์ หรือตู้ห่าว เป็นจำเลยที่ 2 รวมกับพวกสัญชาติจีน ไทย กัมพูชาและบริษัทนิติบุคคล รวม 5 แห่ง มีจำเลยรวม 25 ราย ในความผิดข้อหาเรื่องยาเสพติด การฟอกเงิน และการมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ

 

กระทั่งศาลพิเคราะห์แล้ว ไม่พบพยานหลักฐาน หรือข้อเท็จจริงของโจทก์ที่ชี้ชัดได้ว่าจำเลยมารวมตัวกัน และกระทำการเข้าข่ายความผิดดังกล่าว รวมถึงยกประโยชน์แห่งความสงสัยในความผิดฐานฟอกเงิน จึงมีคำพิพากษายกฟ้องจำเลย 19 ราย ซึ่งในจำนวนดังกล่าวนี้มี นายชัยณัฐร์ กรณ์ชายานันท์ หรือตู้ห่าว จำเลยที่ 2 และพันตำรวจเอกหญิง วันทนารีย์ กรณ์ชายานันท์ อดีตภรรยาของนายตู้ห่าว จำเลยที่ 8 ตามที่มีการรายงานข่าวไปแล้วนั้น

 

 

 

เกี่ยวกับเรื่องนี้ ล่าสุด (12 ก.พ.) ทีมข่าว Top News ได้โทรศัพท์สอบถามไปยังนายวิทยา นีติธรรม ผู้ช่วยเลขาธิการ ปปง. และในฐานะโฆษกประจำสำนักงาน ปปง. ถึงขั้นตอนมาตรการทางทรัพย์สินของผู้ต้องหา ซึ่งถูกคำสั่งคณะกรรมการธุรกรรมยึด และอายัดทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดไว้ชั่วคราว ภายหลังศาลอาญายกฟ้องจำเลย ว่า สำหรับมาตรการดำเนินการกับทรัพย์สินตามกฎหมายของ ปปง. คือ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 และการยกฟ้องในคดีอาญา จะแยกออกจากกัน

เนื่องด้วยการดำเนินการกับทรัพย์สินของ ปปง. คือการดำเนินการทางแพ่ง ย่อมไม่ผูกติดกับคดีอาญา ไม่ใช่คดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา แม้ว่าคดีมูลฐานศาลจะยกฟ้องก็ตาม ซึ่งหลักการดำเนินการกับทรัพย์สินนั้น ศาลแพ่งจะดูว่าทรัพย์สินดังกล่าวมีความเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดอย่างไรบ้าง อีกทั้งการดำเนินการในคดีอาญา คือการกล่าวโทษบุคคลเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม หรือเป็นการนำผู้กระทำผิดเข้าเรือนจำ เพราะต้องมีหลักฐานว่าบุคคลนั้นๆ ได้กระทำความผิดจริง จึงแตกต่างจากมาตรการทางแพ่งของ ปปง. ที่ดูว่าทรัพย์สินดังกล่าวมันเกี่ยวข้องกับพฤติการณ์เรื่องการค้ายาเสพติดหรือไม่ จึงขอยืนยันว่า แม้ว่าในคดีมูลฐาน ศาลจะยกฟ้องจำเลย แต่ในคดีทางแพ่ง ไม่ได้หมายความว่าการดำเนินการกับทรัพย์สินจะต้องถูกยกไปด้วย

ส่วนสิ่งที่จะทำได้ภายหลังคดีมูลฐานถูกยกฟ้องนั้น คือ หากบุคคลที่เป็นผู้มีส่วนได้เสียหรือผู้คัดค้านถูก ปปง. มีคำสั่งยึด และอายัดทรัพย์สินไว้ ก็อาจนำส่วนที่ศาลอาญายกฟ้องมาใช้ประโยชน์ หรือจะนำพยานหลักฐานใดมาใช้ต่อสู้ในคดีแพ่งก็ได้ ว่าทรัพย์สินที่ ปปง. ได้ยึด และอายัดไว้นั้น ไม่ใช่ทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดในคดีมูลฐาน โดยศาลแพ่งจะต้องดูด้วย ว่าเหตุผลที่ถูกยกฟ้องในคดีอาญา รวมถึงสิ่งที่ผู้คัดค้านได้นำเสนอเข้ามา มันมีความเพียงพอที่จะรับฟัง ทำให้ต้องยกในส่วนแพ่งไปด้วยหรือไม่ และหากรับฟังได้ ศาลแพ่งก็จะยกคำร้องของ ปปง. และของพนักงานอัยการ ทั้งนี้ จึงไม่ใช่การยกตามกันโดยอัตโนมัติ แต่มันแยกขาดจากกันระหว่างคดีอาญา และคดีแพ่ง ซึ่งศาลแพ่งต้องมีการชั่งน้ำหนักดูพยานหลักฐานประกอบการพิจารณา

โดยศาลแพ่งดูในเรื่องทรัพย์สิน และดูจากพฤติการณ์ในการสืบสวนประกอบกัน ดังนั้น การยึด และอายัดทรัพย์สินของ ปปง. ไม่ได้ยึดทรัพย์สินเฉพาะบุคคลเดียว แต่ยึดทรัพย์ในกลุ่มผู้ต้องหาเดียวกัน ดังคำว่า …..กับพวก หรือเรียกว่าเป็นการยึดทรัพย์สินในส่วนของผู้เกี่ยวข้องสัมพันธ์ และศาลแพ่งจะเน้นในประเด็นว่ารายการทรัพย์สินนั้นๆ เป็นทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดหรือไม่ และมีการกระทำความผิดมูลฐานหรือไม่ ซึ่งคำว่า “มีการกระทำความผิดในคดีมูลฐานเกิดขึ้น” ไม่จำเป็นจะต้องมีคำพิพากษาว่าบุคคลใดถูกลงโทษในทางอาญา เพราะการมีความผิดมูลฐาน อาจจะมีพฤติการณ์เรื่องการสืบสวนก็ได้

ยกตัวอย่างเช่น นาย ก. (นามสมมติ) นาย ข. (นามสมมติ) และนาย ง. (นามสมมติ) เคยมีประวัติพฤติการณ์เกี่ยวข้องกับการค้ายาเสพติด แม้ทั้งหมดไม่เคยถูกจับกุมในคดียาเสพติดมาก่อนก็เป็นได้ แต่เมื่อศาลได้รับฟังจากพนักงานสอบสวน จนเห็นว่ามันมีพฤติการณ์เกี่ยวกับยาเสพติดเกิดขึ้น ก็มาดูต่อว่าเมื่อมันเกี่ยวกับพฤติการณ์การกระทำความผิดมูลฐานเกิดขึ้นแล้ว ทรัพย์สินดังกล่าวนั้นเป็นทรัพย์ที่ได้มาจากการกระทำความผิดมูลฐานหรือไม่ ถ้าใช่ ศาลก็จะสั่งให้ทรัพย์นั้นตกเป็นของแผ่นดิน แต่ถ้าไม่ใช่ ศาลก็จะยกไป

ทั้งนี้ โฆษก ปปง. ระบุว่า “ความผิดมูลฐานตามกฎหมายของ ปปง. เวลาส่งสำนวนเข้าสู่กระบวนการ มันไม่ได้เจาะจงเพียงคนสองคน แต่เราดูภาพรวมขบวนการทั้งหมด รวมถึงพฤติการณ์ภาพใหญ่ และผู้เกี่ยวข้องสัมพันธ์ในเรื่องนั้นด้วย”

 

 

นอกจากนี้ นายวิทยา ยังเปิดเผยด้วยว่า ภาพรวมในคดีเกี่ยวกับยาเสพติด และการฟอกเงินที่ผ่านมา ซึ่งผ่านกระบวนการดำเนินการทางทรัพย์สินตามกฎหมายของ ปปง. พบว่ามีหลายคดีที่หน่วยงานเกี่ยวข้องทำสำนวนรายการทรัพย์สินแล้วส่งมายัง ปปง. แต่ปรากฏว่าศาลได้ยกฟ้องในคดีมูลฐาน แต่ ปปง. มีการยึดทรัพย์สิน จึงเป็นใจความสำคัญ ว่าเหตุใดต้องมีกฎหมายป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน เพราะหลักในการรับฟังมันคนละส่วนกัน

โดยคดีอาญา หลักใจความคือ ต้องฟังให้สิ้นสงสัย ใช้วิธีการพิสูจน์แบบอาญาฟอกเงิน คือต้องสิ้นสงสัยว่าบุคคลนั้นๆ ได้กระทำผิดจริงหรือไม่จริง แต่หลักดำเนินการกับทรัพย์สินตามกฎหมายฟอกเงิน มันจะไม่ผูกติดกับคดีอาญา เพียงแค่นำเสนอให้ศาลเชื่ออย่างมีเหตุผลว่า ทรัพย์สินดังกล่าวได้มาจากพฤติการณ์การกระทำความผิดมูลฐานก็เพียงพอแล้ว

สำหรับคดีแพ่ง หรือการดำเนินการกับทรัพย์สินของนายชัยณัฐร์ กรณ์ชายานันท์ และพวก ยังคงอยู่ระหว่างกระบวนการของศาลแพ่ง กล่าวคือ ทรัพย์สินของพวกเขายังถูกยึด และอายัดตามกฎหมายของ ปปง.

ทั้งนี้ ทีมข่าวได้ตรวจสอบเอกสารคำสั่งคณะกรรมการธุรกรรม ที่ ย.176/2567 เรื่อง ยึด และอายัดทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดไว้ชั่วคราว (เพิ่มเติม) โดยสรุปใจความเกี่ยวกับรายการทรัพย์สินรายคดีนายตู้ห่าว กับพวก ดังนี้ คำสั่ง ย.93/2566 ลงวันที่ 2 พฤษภาคม 2566 อายัดทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดไว้ชั่วคราว จำนวน 15 รายการ พร้อมดอกผล รวมทั้งสิ้นประมาณ 34.1 ล้านบาท // คำสั่ง ย.141/2566 ลงวันที่ 8 สิงหาคม 2566 ยึดและอายัดทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดไว้ชั่วคราว (เพิ่มเติม) จำนวน 53 รายการ พร้อมดอกผล แบ่งเป็น รวมทรัพย์สินที่ยึดอายัด 34 รายการ รวมทั้งสิ้นประมาณ 14.9 ล้านบาท รวมทรัพย์สินที่ยึดและอายัด 53 รายการ รวมราคาประเมินจำนวนทั้งสิ้นประมาณ 37.6 ล้านบาท

จากการตรวจสอบการทำธุรกรรม รวมทั้งผู้ที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กับผู้กระทำความผิดมูลฐานฟอกเงินในคดีดังกล่าว สำนักงาน ปปง. พบข้อมูลเพิ่มเติมว่า นายตู้ห่าว และพวก เป็นเจ้าของทรัพย์สิน หรือมีสิทธิครอบครองในทรัพย์สินเพิ่มเติมอีก 46 รายการ ประกอบด้วย รถยนต์นั่งส่วนบุคคล / ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง / และเงินในบัญชีเงินฝากธนาคาร ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้ตรวจสอบแล้วปรากฏหลักฐานเป็นที่เชื่อได้ว่า ทรัพย์สินดังกล่าวเป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542

และเนื่องจากทรัพย์สินดังกล่าว อันเป็นทรัพย์สินที่สามารถโอน ยักย้าย ปกปิด หรือซ่อนเร้นได้โดยง่าย คณะกรรมการธุรกรรมจึงมีคำสั่งยึดและอายัดทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดไว้ชั่วคราว (เพิ่มเติม) จำนวน 46 รายการ พร้อมดอกผลดังกล่าว ที่ ย.176/2567 ลงวันที่ 18 กันยายน 2567 รวมทรัพย์สินที่อายัดทั้งสิ้นจำนวน 44 รายการ รวมจำนวนทั้งสิ้นประมาณ 18.2 ล้านบาท พร้อมดอกผล และรวมทรัพย์สินที่ยึดและอายัดทั้งสิ้น จำนวน 46 รายการ รวมราคาประเมินจำนวนทั้งสิ้นประมาณ 46.1 ล้านบาท พร้อมดอกผล

อย่างไรก็ตาม ทำให้ทราบว่าในรายคดีของนายตู้ห่าว และพวก คณะกรรมการธุรกรรมได้ออกคำสั่งยึด และอายัดทรัพย์สินตามกฎหมาย พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 รวมทั้งสิ้น 3 คำสั่ง รวมราคาประเมินทั้งสิ้น 117.9 ล้านบาท

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ข่าวล่าสุด

เช็กเสียงขั้วการเมือง รบ.อิ๊งค์เหนื่อย หากภท.เป็นฝ่ายค้าน
"กรวีร์" ไม่อยู่เฉยๆ โพสต์เตือนสติราชสีห์ เคยต้องพึ่งหนู สะพัดภูมิใจไทย โดนพท.บีบหนัก ต้องตอบรับเงื่อนไข สลับกระทรวงมท.หรือไม่ ภายใน 48 ชม.
"สันติสุข" เทียบเจ็บ "ฮุน เซน" เหมือนคนคลั่งยา จับสมาชิกครอบครัวเป็นตัวประกัน ปลุกระดมทะเลาะไทย พาคนในชาติเดือดร้อนทั่วหน้า
วธ.เตรียมจัดใหญ่งานมหกรรมวัฒนธรรมแห่งชาติ วิถีถิ่น วิถีไทย กลางใจกรุงเทพฯ มางานเดียวเหมือนได้เที่ยวทั่วไทย
เพื่อไทยกร้าวสุด "สส.อีสาน" เล่นใหญ่ เสนอกลางวงประชุมพรรค ลั่นถึงเวลาทวง "มหาดไทย" คืน
กลาโหมกัมพูชากล่าวหาไทยละเมิด MOU 2543
สถานทูตในอิหร่านเตือนคนไทยออกจากเตหะราน
ครม. เห็นชอบแต่งตั้ง "เกษร" เป็นผู้อำนวยการสำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย
อิสราเอลขู่คาเมเนอีระวังมีชะตากรรมเหมือนซัดดัม
ศน. ประกาศผลประกวดบรรยายธรรมระดับประเทศ 24 เยาวชนคนเก่ง รับโล่พระราชทาน "กรมสมเด็จพระเทพฯ"

ดู LIVE รายการ

X

เราใช้ คุ้กกี้ เพื่อให้ทุกคนได้ประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น