“ดร.สามารถ” แจงย้ำ “ทางด่วนศรีรัช” ทำไมราคาถูกลงได้ ไม่ต้องขยายสัมปทาน

ดร.สามารถ ราชพลสิทธิ์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก แจงย้ำ"ทางด่วนศรีรัช"ทำไมราคาถูกลงได้ ไม่ต้องขยายสัมปทาน

“ดร.สามารถ” แจงย้ำ “ทางด่วนศรีรัช” ทำไมราคาถูกลงได้ ไม่ต้องขยายสัมปทาน – Top News รายงาน

เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2567 ดร.สามารถ ราชพลสิทธิ์ อดีตรองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และอดีตรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ดร.สามารถ ราชพลสิทธิ์ – Dr.Samart Ratchapolsitte โดยระบุว่า.. หลายคนเข้าใจผิดคิดว่า ค่าผ่านทางด่วนศรีรัช (ทางด่วนขั้นที่ 2) จะถูกลง เพราะรัฐเตรียมที่จะขยายสัมปทานครั้งที่ 2 ให้เอกชนออกไปอีก 22 ปี 5 เดือน แต่ข้อเท็จจริงก็คือแม้ไม่ขยายสัมปทาน ค่าผ่านทางก็ถูกลงได้ !
กระทรวงคมนาคมต้องการให้การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) ลดค่าผ่านทางด่วนศรีรัชช่วงงามวงศ์วาน-พระราม 9 ซึ่งเวลานี้มีค่าผ่านทางสูงสุดสำหรับรถ 4 ล้อ 90 บาท เหลือสูงสุดไม่เกิน 50 บาท เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระค่าครองชีพของพี่น้องประชาชน   การลดค่าผ่านทางดังกล่าวจะทำให้รายได้ค่าผ่านทางลดลงประมาณ 1,500 ล้านบาทต่อปี จากเดิมที่มีรายได้ประมาณ 13,000 ล้านบาทต่อปี ลดลงเหลือประมาณ 11,500 ล้านบาทต่อปี

ข่าวที่น่าสนใจ

รายได้เดิมประมาณ 13,000 ล้านบาทต่อปี แบ่งเป็นของ กทพ. และเอกชนผู้รับสัมปทานตามสัดส่วนดังนี้ดังนี้
(1) รายได้จากทางด่วนเฉลิมมหานคร (ทางด่วนขั้นที่ 1) และทางด่วนศรีรัช (ทางด่วนขั้นที่ 2) ส่วน A (ถนนรัชดาภิเษก-ทางแยกต่างระดับพญาไท-ถนนพระราม 9) และส่วน B (ทางแยกต่างระดับพญาไท-บางโคล่) เป็นของ กทพ. 60% และของเอกชน 40%
(2) รายได้จากทางด่วนศรีรัช ส่วน C (ถนนรัชดาภิเษก-ถนนแจ้งวัฒนะ) และส่วน D (ถนนพระราม 9-ถนนศรีนครินทร์) รวมทั้งทางด่วนอุดรรัถยา (ทางด่วนสายบางปะอิน-ปากเกร็ด) เป็นของเอกชนทั้งหมด 100%
การแบ่งรายได้เดิมตามสัดส่วนดังกล่าว ทำให้ กทพ.ได้รับรายได้ประมาณ 6,300 ล้านบาทต่อปี และเอกชนได้รับประมาณ 6,700 ล้านบาทต่อปี
หากลดค่าผ่านทางลงจะทำให้รายได้ลดลงเหลือประมาณ 11,500 ล้านบาทต่อปี โจทย์สำคัญก็คือจะทำอย่างไรให้เอกชนได้รับรายได้เท่าเดิม ? เพื่อที่ กทพ.ไม่ต้องชดเชยให้เอกชน เช่น ด้วยการขยายสัมปทาน เป็นต้น
กทพ.จึงเสนอให้ปรับเปลี่ยนสัดส่วนการแบ่งรายได้จากทางด่วนเฉลิมมหานคร และทางด่วนศรีรัช (ส่วน A และ B) ด้วยการยอม “เฉือนเนื้อตนเอง” จากเดิม กทพ.ได้รับ 60% เอกชนได้รับ 40% เป็น กทพ.ได้ 50% เอกชนได้ 50% ส่วนสัดส่วนการแบ่งรายได้จากทางด่วนศรีรัช (ส่วน C และ D) รวมทั้งทางด่วนอุดรรัถยายังคงเหมือนเดิม กล่าวคือเอกชนได้รับทั้งหมด 100%
การปรับเปลี่ยนสัดส่วนการแบ่งรายได้ดังกล่าว ทำให้ กทพ.ได้รับรายได้น้อยลงเหลือประมาณ 4,800 ล้านบาทต่อปี ในขณะที่เอกชนยังคงได้รับรายได้เท่าเดิม นั่นคือประมาณ 6,700 ล้านบาทต่อปี เป็นผลให้ กทพ.ไม่ต้องชดเชยให้เอกชนด้วยการขยายสัมปทาน
ทั้งหมดนี้ จะเห็นได้ว่า กทพ.ไม่จำเป็นจะต้องขยายสัมปทานให้เอกชน ก็สามารถทำให้ค่าทางด่วนถูกลงได้ !
หมายเหตุ: ข้อสงสัยดังกล่าวข้างต้นจึงเป็นข้อกังขาที่ผมและประชาชนทุกคนชอบที่จะต้องขอคำชี้แจงให้สิ้นสงสัยจากหน่วยงานที่รับผิดชอบโดยตรง ทั้งนี้ก็เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน ด้วยเจตนาที่จะให้ประชาชนได้รับประโยชน์จากโครงการนี้อย่างเต็มที่ โดยปราศจากข้อสงสัยใดๆ ทั้งสิ้นเท่านั้นเอง
ดร.สามารถ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ข่าวล่าสุด

ตำรวจพัทยาล้อมจับหนุ่มชอบ อ้างตัวเป็นตำรวจ ใช้ปืนปลอมขู่แฟน-ชาวบ้าน ใครยุ่งยิงทิ้ง
"พรรคแรงงานสร้างชาติ" บุกทำเนียบ ยื่นหนังสือถึง "นายกฯ" ค้านขึ้นVAT 15% แรงงานระทมหนักประชาชนเดือดร้อนทั่วหน้า
ยิ่งใหญ่ "กองทัพภาคที่ 4" จัดพิธีสดุดีวีรไทย ครบรอบปีที่ 83 ปี รำลึกถึงวีรชนสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2
"พิธา" กร้าวชนนายทุนใหญ่ นำผู้สมัครส้มชิงนายกอยจ.อุบลฯ ออกตัววันเลือกตั้งไม่เอื้อปชต.
ผู้เชี่ยวชาญ "นวดแผนไทย" เผยปมนักร้องสาวเสียชีวิต หลังหมอนวดบิดคอกลายเป็นผู้ป่วยติดเตียง
เร่งเยียวยาครอบครัว "2 นร." ชาวกำแพงเพชร นั่งกระบะชนตอม่อดับ
ศปช.เตือนสัปดาห์หน้า ภาคใต้เตรียมรับมือฝนตกหนัก “บิ๊กอ้วน” สั่งเร่งทุกหน่วยเตรียมพร้อมคุมสถานการณ์ 24 ชม.
สุดแปลก! สาวปลูก "มันม่วง" ไว้กิน ดันโตในรองเท้า เจ้าของตั้งชื่อเรียก "มันม่วงมิสแกรนด์"
กลุ่มกบฎซีเรียแถลงผ่านทีวีลั่นโค่นรัฐบาลอัสซาดสำเร็จแล้ว
ผู้นำซีเรียหนีออกนอกปท.แล้วหลังกบฎยึดกรุงดามัสกัส

ดู LIVE รายการ

X

เราใช้ คุ้กกี้ เพื่อให้ทุกคนได้ประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น