ข่าวที่น่าสนใจ
หากย้อนกลับไปเมื่อปีที่แล้ว (6 พ.ย.66) คุณเบนซ์ เรซซิ่ง เคยให้สัมภาษณ์กับทีมข่าวท็อปนิวส์ ซึ่งในบางช่วงบางตอนกล่าวว่า เหมือนเคราะห์ซ้ำกรรมซัด หลังจากที่ตนเองตกเป็นผู้ต้องหา และเป็นคดีดังที่สังคมให้ความสนใจ ก็จะมีทนายความชื่อดังคนหนึ่ง ซึ่งเป็นที่รู้จักติดต่อมาหา พร้อมอาสาทำคดีให้ โดยติดต่อมาทางคุณแม่ของตนเอง ระบุว่า คดีนี้เขาทำได้ แต่ก็เรียกเงินค่าทำคดีสูงมาก เป็นเงินจำนวน 20 ล้าบาท แต่คุณแม่ก็ไม่ได้ตกลง และพูดคุยอะไร เรื่องจึงจบลงแค่นั้น
คุณเบนซ์ เรซซิ่ง กล่าวเสริมว่า ทนายคนนี้เขาไม่ได้ดูพฤติการณ์ว่า รูปคดีเป็นอย่างไร จะสู้ได้หรือสู้ไม่ได้ แต่ขอเรียกเงินก่อนเลย 20 ล้านบาท โดยที่ไม่รู้ว่า ข้อมูลเกี่ยวพันอะไรยังไง จะสู้ได้หรือไม่ มาถึงก็เรียกก่อนเลย ขนาดคุณแม่เตรียมเอกสารนับพันฉบับ ทนายคนดังก็ไม่ดูเอกสารสักชิ้น
จนกระทั่งวันนี้ (8 พ.ย.67) คุณเบนซ์ เรซซิ่ง เปิดปากยอมรับกับทีมข่าวท็อปนิวส์ ว่า ทนายคนดังกล่าว คือนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม แต่สุดท้ายทางครอบครัวก็ไม่ได้ใช้บริการของทนายตั้ม โดย เบนซ์ เรซซิ่ง ยังกล่าวด้วยว่า จากการติดตามข่าวของทนายตั้ม กับคู่กรณี จะมีลักษณะคล้ายๆ กัน เสมือนทนายตั้มจะพยายามหาผู้เสียหาย หรือลูกความที่ค่อนข้างมีฐานะ แล้วเรียกค่าทนาย หรือค่าทำคดี เป็นเงินจำนวนครั้งละมากๆ หรืออ้างว่าจะไปวิ่งเต้นผู้หลักผู้ใหญ่ ซึ่งส่วนตัวมองว่า เป็นพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม
นอกจากนี้ คุณเบนซ์ เรซซิ่ง ยังได้กล่าวถึงอนาคตของทนายตั้ม และ ภรรยา ในฐานะที่เคยเป็นผู้ต้องหา และติดคุกมานานถึง 4 ปี โดยส่วนตัวมองว่า วันนี้จะมีการนำตัวทนายตั้ม และภรรยา ไปฝากขังต่อศาล ซึ่งมองว่าศาลอาจจะอนุญาตให้ประกันตัว เฉพาะภรรยาของทนายตั้มเท่านั้น ส่วนทนายตั้ม อาจจะไม่ได้รับการประกันตัว เนื่องจากศาลอาจมองว่า ผู้ถูกกล่าวหาเป็นนักกฎหมาย เรียนจบเนติบัณฑิต มีอาชีพเป็นทนายความ มีความรู้ความสามารถในข้อกฎหมาย แต่กลับมีคดีความ ข้อหา “ฉ้อโกง และฟอกเงิน” โดยศาลต้องใช้ดุลยพินิจในการพิจารณาเป็นพิเศษ
อย่างไรก็ตาม คุณเบนซ์ เรซซิ่ง ยังกล่าวทิ้งท้ายด้วยว่า อาชีพทนายความ เป็นอาชีพเฉพาะ เสมือนกับการเรียนหมอเรียนแพทย์ เวลาคนที่ได้รับความเดือดร้อน เขาก็จะไปปรึกษา ซึ่งเหนือสิ่งอื่นใดที่ทุกวิชาชีพพึงมี นั่นคือ “จรรยาบรรณ” เพราะคำนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง รวมถึงความซื่อสัตย์ต่อวิชาชีพของตัวเองอีกด้วย
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
