เบิกเนตรประเด็นเอกชนนำเข้าวัคซีน…..ผศ.ดร.วรัชญ์ ครุจิต รองคณบดีฝ่ายวางแผนและพัฒนา คณะนิเทศศาสตร์และนวัตกรรมการจัดการ สถาบันบัณฑิตพัฒนาบริหารศาสตร์ (นิด้า) ในฐานะที่ปรึกษาศบค. โพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊กว่า
อธิบายกรณีความเข้าใจผิดเรื่องการนำเข้าวัคซีนของภาคเอกชน
สืบเนื่องจากประกาศของหอการค้าไทย ที่ทำให้เกิดกระแสที่หลายๆคนเข้าใจว่า “ รัฐสั่งเบรก” ไม่ให้เอกชนดำเนินการหาวัคซีนมาช่วยเสริม ผมจะขอลองอธิบายที่มาที่ไป และเหตุผลตามที่ผมเข้าใจและมีข้อมูลดังนี้ (ถ้าอยากรู้ต้องอ่านให้จบครับ)
1.เมื่อสักช่วงต้นปี ภาครัฐมีการประกาศแผนการจัดหาวัคซีนของรัฐ โดยมีเป้าหมาย 100 ล้านโดส แต่ยังขาดอยู่ประมาณ 37 ล้านโดส เมื่อภาคเอกชนจึงประชุมปรึกษากันและอาสาที่จะช่วยอีกแรง เพราะคิดว่าอาจจะมีช่องทางในการเจรจาทางธุรกิจที่คล่องตัวกว่า และจะได้วัคซีนยี่ห้ออื่นมาเร็วกว่า
- เมื่อเอกชนได้ลองติดต่อไปกับผู้ผลิตวัคซีนหลายๆบริษัท ก็พบว่าการซื้อวัคซีนไม่ใช่เรื่องง่ายเหมือนซื้อของทั่วไป เพราะทุกประเทศทั่วโลกต่างแย่งกัน และวัคซีนผลิตได้ไม่พอกับประชากรโลก หากจะได้ ก็คงไปถึงไตรมาสที่ 4 ปลายปีแล้ว ซึ่งคุณสนั่น ประธานหอการค้าเรียกว่า “ Too Late”
- ถ้าคนที่ติดตามข่าวเรื่องวัคซีน จะรู้ว่าคอขวดมันอยู่ที่เดือน พ.ค. ที่เราพยายามจะหามาให้ได้ เพราะตั้งแต่เดือน มิย. เราก็จะมีวัคซีนของแอสต้าเซเนก้า ที่จะผลิตโดยบริษัทสยามไบโอไซเอนซ์ เดือนแรก 6 ล้าน เดือนต่อๆไปเดือนละ 10 ล้าน จะไม่มีปัญหาเรื่องขาดแคลนวัคซีน จะมีปัญหาเรื่องการฉีดมากกว่า เพราะฉะนั้น การจะได้มาในไตรมาสที่ 3 หรือ 4 ก็สายเกินไป และเป็นการซ้ำซ้อน มาก็ไม่ได้ฉีด
ซึ่งอันนี้พูดถึงแค่เรื่องการซื้อนะครับ ยังไม่ถึงขั้นตอนการขออนุมัติ การขึ้นทะเบียนอะไรต่างๆนาๆ ที่มีคนชอบมโนไปด่ารัฐว่า รัฐถ่วงเวลาวัคซีนของเอกชน แกล้งขึ้นทะเบียนช้า อันนี้คืองงจริงอะไรจริง คือเค้ายังซื้อไม่ได้เลยครับ!
- ดังนั้น เมื่อภาคเอกชนได้เข้าประชุมกับนายก ในวันที่ 28 เมย. และได้พูดคุยถึงสถานการณ์ดังกล่าว นายกในฐานะตัวแทนฝ่ายรัฐ จึงได้บอกว่าไม่เป็นไร ไม่ต้องกังวล ขอให้มั่นใจว่าทางรัฐได้พยายามหาซื้อวัคซีนทางเลือกอื่นๆเพิ่มเติม และประสบผลสำเร็จกับหลายแห่ง เช่นได้ของ Sinovac, Sputnik, Johnson & Johnson, Pfizer และมีโอกาสจะได้จากที่อื่นอีก เช่น Moderna, Sinopharm, Bharat และอื่นๆ ที่เชื่อว่าน่าจะได้มากจนครบ 37 ล้านโดสที่เหลือ (และต่อๆไป ก็มีแนวโน้มว่าจะซื้อได้ง่ายขึ้นกว่าเดิม) ซึ่งความได้เปรียบของรัฐในการเจรจาก็คือ การเป็นตัวแทนของประเทศ แต่สำหรับภาคเอกชน ผู้ขายต้องพิจารณารอบคอบ และไม่ค่อยอยากขายให้ เพราะกลัวถูกฟ้องร้องกรณีเกิดผลข้างเคียง ซึ่งรัฐต้องรับผิดชอบเรื่องนี้ เพราะอย่าลืมว่า นี่เป็นการขายใน “กรณีฉุกเฉิน” นะครับ ไม่ใช่การซื้อขายทั่วไปตามปกติ
- เมื่อฝ่ายเอกชน ทั้งหอการค้าไทย (ประชุมช่วงเช้า) และ กกร. (ประชุมช่วงบ่าย) ได้ฟังคำสัญญาและคำอธิบายจากฝ่ายรัฐ ก็เกิดความมั่นใจว่ารัฐจะหาวัคซีนมาได้เพียงพอตามแผน ประกอบกับที่ตัวเองก็หาซื้อไม่ได้ จึง “ยินดี” ให้รัฐเป็นหลักในการดำเนินการจัดหาวัคซีน และฝ่ายเอกชนจะช่วยเสริมในส่วนที่ทำได้ และเสนอตัวที่จะช่วยรัฐในด้านอื่นๆด้วย โดยเฉพาะด้านการจัดสถานที่ฉีดวัคซีน และการช่วยประชาสัมพันธ์
- แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า ภาคเอกชนจะหยุดการจัดหาวัคซีน หอการค้าไทยก็ไม่ได้หยุดการเจรจาที่ดำเนินการไปแล้ว และมีบางสมาคม เช่นสมาคมโรงพยายาลเอกชน ก็ยังดำเนินการต่อ และเชื่อว่าต่อไปหากสถานการณ์เริ่มมีวัคซีนเหลือ ภาคเอกชนก็สามารถเจรจาได้ง่ายขึ้น ก็อาจดำเนินการช่วยรัฐจัดหาวัคซีนเพิ่มก็ได้ (แต่ก็ต้องผ่านการอนุมัติ ลงทะเบียนกับรัฐ)
- ในเย็นวันที่ 28 เมย. หอการค้าออกประกาศ โดยมีข้อความว่า “รัฐบาลแจ้งว่าปริมาณวัคซีนที่ภาครัฐจัดหามานั้น มีจำนวนเพียงพอต่อความต้องการของประชาชนทุกคน พร้อมเร่งดำเนินการในการนำเข้าวัคซีน ซึ่งกำลังทยอยมาเป็นลำดับ ดังนั้น ภาคเอกชนจึงไม่จำเป็นต้องมีการจัดหามาเพิ่มเติม และจะได้ไม่เป็นภาระในเรื่องค่าใช้จ่าย (รูปที่ 1) ซึ่งคนที่ไม่เข้าใจ ไม่มีข้อมูลเรื่องการจัดหาวัคซีน คิดว่ามีเงินก็ซื้อได้ หรือเชื่ออยู่เดิมว่ารัฐกีดกัน เมื่อได้อ่านประกาศนี้ จึงเหมาเอาว่ารัฐสั่งเบรกเอกชน ไม่ให้สั่งซื้อวัคซีนเอง (โดยเหตุผลที่ยกมาคงจะเป็นข้ออ้าง) และพาลไปพูดว่าไม่โปร่งใส มีเงินทอน ต่างๆนาๆ
- คนที่ติดตามข่าวและฟังการแถลงผลการประชุมกับหอการค้าและกกร. ต่างรู้สึกประหลาดใจกับประกาศนี้ เพราะไม่ได้เป็นเนื้อหาในการประชุม ที่เน้นไปที่การสร้างความร่วมมือ และการสร้างความมั่นใจในการจัดหาวัคซีน และผลการเจรจาออกมาเป็นอย่างดี ต่างฝ่ายต่างเข้าใจ มีการจะตั้งทีมขั้นมาร่วมทำงานด้านวัคซีนด้วยกัน และตัวแทนภาคเอกชนก็แสดงความมั่นใจในแผนของรัฐว่าจะได้ครบ 100 ล้านโดส และในข่าวทั้งที่แถลงและข่าวของเพจหอการค้าไทย ก็ไม่มีการพูดถึงเรื่องนี้ ซึ่งต่อมา ประกาศนี้ถูกลบออกไปจากเพจของหอการค้าไทย (แต่ยังอยู่ในเว็บไซต์)
ส่วนตัวผมเข้าใจว่า การออกประกาศนี้ น่าจะเป็นการตอบคำถามต่อผู้ที่ทวงถามทางหอการค้าว่า ตกลงที่ประกาศว่าจะหาวัคซีนเพิ่ม และให้บริษัทต่างๆแจ้งความประสงค์เข้ามา ผลเป็นอย่างไรบ้าง มีความคืบหน้าอย่างไร เมื่อไหร่จะได้ เลยต้องประกาศแจ้งให้ทราบ โดยตัดเหตุผลที่ว่ายังหาซื้อไม่ได้ออกไป ซึ่งหอการค้าก็มีสิทธิที่จะแจ้ง เพียงแต่ Timing ที่ออกมาหลังการเจรจากับนายก โดยพูดเรื่องนี้เรื่องเดียว แต่ไม่พูดเรื่องความร่วมมืออื่นๆ มันไม่น่าจะเหมาะสม และ wording ที่ใช้ก็ทำให้คนเกิดความสับสน
- ในวันต่อมา คือวันที่ 29 เมย. สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ก็ได้ออกสารเพื่อแจ้งว่า รัฐบาลจะจัดหาวัคซีนให้ครบ 100 ล้านโดสได้ และจะมีวัคซีนเพิ่มในเดือน พ.ค. และย้ำว่า “รัฐบาลเปิดกว้างให้เอกชนนำเข้าวัคซีนมาได้ภายใต้กฎเกณฑ์ของกระทรวงสาธารณสุข”
- ดังนั้นจึงสรุปได้ว่า ภาครัฐไม่มีการ “สั่งเบรก” และไม่เคย “ สั่งเบรก” ไม่ได้ปฏิเสธ ไม่ได้ปิดกั้น (ไม่รู้จะย้ำอีกซักอีกครั้งดี) ภาคเอกชนใดๆทั้งสิ้น ใครดำเนินการก็ดำเนินการไป แต่รัฐบาลก็มีแผนที่แน่นอนและมั่นใจในการจัดหาวัคซีนให้ครบ 100 ล้านโดส คุณสนั่น ประธานหอการค้าไทย ยังให้สัมภาษณ์ว่า เรื่องนี้ “ต้องยุติธรรมกับรัฐบาล” ที่มีความ “ตั้งใจดี” และ “กระตือรือร้น” ในการจัดหาวัคซีน (ดูในคลิปสัมภาษณ์)
แม้แต่ YouTube ของ (สื่อออนไลน์) ที่เป็นผู้สัมภาษณ์เองและสรุปเองจากคำสัมภาษณ์ว่า รัฐไม่ได้สั่งเบรก หอการค้าถอยออกมาเอง แต่ก็ยังไปพาดหัวว่า “ รัฐสั่งเบรก” แต่ในเว็บข่าวของ (สื่อออนไลน์) ในข่าวเดียวกัน กลับพาดหัวไปคนละทาง แบบนี้ประชาชนจะไม่สับสนได้ยังไงครับ
//////////////////////////