ชั่วโมงนี้ชื่อของ “บิ๊กน้อย” พล.อ.วิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา เพราะล่าสุดได้รับการแต่งตั้งจาก “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ผู้เป็น “นาย” ให้เข้ามารับบทประธานยุทธศาสตร์พรรคพลังประชารัฐ ภายหลังเกิดเรื่องราวใหญ่โต จากกรณีที่ “ผู้กองนัส” ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมช.เกษตรและสหกรณ์ ในฐานะเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ จับมือกับ “อ.แหม่ม” นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รมช.แรงงาน วางแผนเดินเกมส์เลื่อยขาคว่ำ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ ระหว่างศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจที่ผ่านมา แต่สุดท้ายแผนแตกไม่สำเร็จส่งผลให้พล.อ.ประยุทธ์ปลดรัฐมนตรีทั้ง 2 คนพ้นจากตำแหน่ง จนเกิดความระส่ำระส่ายในพรรคพลังประชารัฐอย่างหนัก พร้อมกระแสข่าวว่าพล.อ.ประยุทธ์จะใช้โอกาสนี้เขามาแทรกแซง บริหารจัดการขั้วอำนาจในพรรคพลังประชารัฐใหม่ ถึงขั้นเล็งยกเครื่องพรรคพลังประชารัฐใหม่หมด ด้วยเหตุนี้จึงทำให้พล.อ.ประวิตรและร.อ.ธรรมนัสต้องแก้เกมส์ด้วยการดึงพล.อ.วิชญ์เข้ามาขวางมาคานอำนาจช่วยในการว่ายุทธศาสตร์ของพรรคใหม่ให้เข้าที่เข้าทางกว่าเดิม
สำหรับประวัติของพล.อ.วิชญ์นั้นมีชื่อเล่นว่า “น้อย” อดีตเคยนักเรียนเตรียมทหารรุ่นที่ 11 (ตท.11) นักเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้ารุ่นที่ 22 (จปร.22) เป็นนายทหารคอราบ แรกเริ่มเดิมทีตอนหนุ่มๆ เคยรับราชการที่กองพลทหารราบที่ 9 จ.กาญจนบุรี เคยเป็นลูกน้องของ “บิ๊กลภ” พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี ที่ปรึกษานายกฯ (น.ส.ยิงลักษณ์) สมัยเป็นผู้พัน ร.19 พัน 2 มี “เสธ.อ้าย” พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ อดีตประธานองค์การพิทักษ์สยาม เป็นรองผู้พัน ตอนนั้นพล.อ.วิชญ์ยังเป็นนายทหารหนุ่มตำแหน่งแค่ผู้หมวดหรือผบ.ร้อย จากนั้นเส้นทางรับราชการของพล.อ.วิชญ์ก็เติบโตตามลำดับ โดยเคยผ่านตำแหน่งสำคัญๆ อาทิ พ.ศ. 2545 ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 14 , พ.ศ. 2547 ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 11, พ.ศ. 2548 รองแม่ทัพภาคที่ 1 , พ.ศ. 2549 แม่ทัพน้อยที่ 1, พ.ศ. 2550 ที่ปรึกษาสถาบันวิชาการป้องกันประเทศ , พ.ศ. 2551 ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษกองทัพบก ,พ.ศ. 2552 ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก, พ.ศ. 2553 ประธานคณะที่ปรึกษากองทัพบก ก่อนเกษียณอายุราชการ 30 ก.ย.2554
พลิกปูมหลังพล.อ.วิชญ์เห็นนามสกุล “เทพหัสดิน ณ อยุธยา” ก็รู้แล้วว่าเป็นนายทหารประเภท “ลูกเจ้านาย” เพราะเป็นลูกชายคนโตของพล.อ.ยศ เทพหัสดิน ณ อยุธยา อดีตนายทหารผู้กว้างขวาง เคยเป็นผู้บัญชาการกองกำลังทหารไทยในเวียดนามคนแรก เป็นอดีตแม่ทัพภาคที่3 ก่อนขยับมาเป็นแม่ทัพภาคที่ 1 คุมเมืองหลวง เข้าไลน์ 5 เสือเป็นรองผบ.ทบ.จนเกษียณ จากนั้นผันตัวเข้าสู่แวดวงการเมือง เคยเป็นอดีตรมช.กลาโหม อดีตรัฐมนตรีสำนักนายกฯ ยุคนายกฯ เกรียงศักดิ์ ชมะนันท์ เคยเป็นแกนนำคนสำคัญของกบฏนอกราชการ หรือ กบฏ 9 ก.ย. 2528 ที่วางแผนยึดอำนาจจาก “ป๋าเปรม” พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ สมัยเป็นนายกฯ ในแวดวงสีเขียวสีกากีสมัยก่อนชื่อของพล.อ.ยศนั้นกว้างขวางและดังมาก เพราะมีบารมีมากรู้จักหมดทั้งทหารตำรวจ ข้าราชการใหญ่ และนักการเมือง เคยเป็นเจ้าของคอกม้า ส่งม้าแข่งทุกรายการทั่วฟ้าเมืองไทย ด้วยเหตุนี้เลยทำให้ลูกชายอย่างพล.อ.วิชญ์ชื่นชอบกีฬาขี่ม้าตามพ่อมาแบบเข้าเส้น
นอกจากเป็นลูกเจ้านายแล้ว พล.อ.วิชญ์ยังได้ชื่อว่าเป็นน้องรักอีกคนของพล.อ.ประวิตร แม้ไม่ได้เป็นนายทหารสายบูรพาพยัคฆ์ ไม่ได้เป็นสายทหารเสือราชินี ไม่ได้เป็นสายพล.ร.2 รอ. เหมือนพล.อ.ประยุทธ์ หรือ “บิ๊กป็อก” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ที่เป็นพี่น้อง 3 ป.ขนานแท้ เพราะเป็นนายทหารเมืองหลวงเป็นสายวงศ์เทวัญ ไม่ใช่ทหารเสือหัวใจสีม่วง แถมไม่ได้นั่งเป็นหน้าห้องไม่ได้อยู่ติดพล.อ.ประวิตรไม่ได้เป็นฝ่ายเสธ.เดินตาม แต่ก็เป็นที่รับรู้กันว่าพล.อ.ประวิตรรักใคร่ชอบพอและให้ความเอ็นดูพล.อ.วิชญ์ไม่น้อย ย้อนกลับไปในช่วงที่พล.อ.วิชญ์หลุดไลน์แม่ทัพภาคที่ 1 และฉีกไปเอาพล.อ.ที่สถาบันวิชาการป้องกันประเทศ ตอนนั้นหลายคนคิดว่าพล.อ.วิชญ์น่าจะหลุดไลน์ 5 เสือทบ.ไปแล้ว และคงกลับมายากแล้ว ต่างจากน้องรักพันธ์แท้อย่างพล.อ.ประยุทธ์ที่โตพรวดๆ แต่เส้นทางของพล.อ.วิชญ์ก็ดูจะล้อกับพล.อ.ประยุทธ์มาตลอด พูดให้เห็นภาพชัดๆ หากเปรียบเป็นหนังหรือละคร พล.อ.ประยุทธ์ก็ได้บทพระเอกตลอด ส่วนพล.อ.วิชญ์เต็มที่ก็ได้แค่พระรองหลังเหตุการณ์ 19 ก.ย.2549 พล.อ.ประยุทธ์ได้รับการเสนอชื่อขึ้นเป็นแม่ทัพภาคที่ 1 คุมเมืองหลวง ปล่อยให้พล.อ.วิชญ์ที่นั่งเป็นรองแม่ทัพภาคที่ 1 และลุ้นเป็นแม่ทัพภาคที่ 1 เช่นกัน ต้องฉีกไปเอาพล.ท.ในตำแหน่งแม่ทัพน้อยที่ 1 แทน ก่อนที่พ.ศ.2550 เมื่อเห็นว่าโอกาสขึ้นเป็นใหญ่ในกองทัพบกยากแล้ว พล.อ.วิชญ์จึงหนีไปติดพล.อ.ที่ปรึกษาสปท.แทน ภายหลังจึงถูกหมุนเข้ากรุผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษทบ.เส้นทางพล.อ.วิชญ์ตอนนั้นถูกมองว่าน่าจะจบน่าจะเป๊กแล้วแค่นั้น
ตรงข้ามกับพล.อ.ประยุทธ์ที่โตวันโตคืน พ.ศ.2551 พล.อ.ประยุทธ์ขยับจากพล.ท.แม่ทัพภาคที่1 เป็นพล.อ. เข้าไลน์ 5 เสือทบ.ในตำแหน่งเสธ.ทบ. ก่อนที่ปีพ.ศ.2552 พล.อ.ประยุทธ์จะขยับจากเสธ.ทบ.มาเป็นรองผบ.ทบ.ครองยศอัตราจอมพล และถูกวางตัวเป็นเต็งหามเต็งหนึ่งจ่อขึ้นเป็นผบ.ทบ.คนต่อไปหลังจากพล.อ.อนุพงษ์เกษียณ จังหวะเดียวกันนี้พล.อ.ประวิตรก็ไม่ลืมที่จะขุดพล.อ.วิชญ์จากกรุผู้ทรงฯกลับมาผงาดลืมตาอ้าปากเป็นผช.ผบ.ทบ.เข้าไลน์ 5 เสือทบ.เช่นกัน แต่ก็ไม่อาจมาเป็นแคนดิเดตชิงตำแหน่งผบ.ทบ.กับพล.อ.ประยุทธ์ได้ แม้จะถูกบางสื่อบางรายจับไปเป็นคู่เทียบคู่ชิงผบ.ทบ. แต่ทุกคนก็รู้ดีว่าพล.อ.ประยุทธ์นั้นแบเบอร์มาวินอย่างแน่นอน เพราะถูกพล.อ.อนุพงษ์วางตัวเป็นทายาทคุมรั้วแดงกำแพงเหลืองไว้แล้ว แถมอาวุโสยศมากกว่า ตำแหน่งหลักเยอะกว่า มีภาษีดีกว่า สุดท้ายปลายทางโยกย้ายปลายปี 2553 พล.อ.ประยุทธ์ก็ผงาดขึ้นเป็นผบ.ทบ. แต่พล.อ.วิชญ์ก็ไม่ได้น้อยหน้าแต่อย่างใด เพราะถูกพล.อ.ประวิตรดันขึ้นเป็นประธานคณะที่ปรึกษากองทัพบก ครองยศอัตราจอมพลเสมอเหมือนพล.อ.ประยุทธ์เช่นกัน ด้วยเหตุนี้แม้พล.อ.วิชญ์จะเป็นน้องรักของพล.อ.ประวิตรเช่นเดียวกับพล.อ.ประยุทธ์ แต่ถ้าดูจากเส้นทางรับราชการของทั้งคู่ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าพล.อ.ประยุทธ์กับพล.อ.วิชญ์นั้น เบียดตำแหน่งเฉือนคมเก้าอี้ชิงดำกันเป็นใหญ่มาตลอด ตั้งแต่แม่ทัพภาคที่1เรื่อยมาจนถึงผบ.ทบ.
ด้านคอนเนกชั่นของพล.อ.วิชญ์ก็ไม่ธรรมดา แม้จะไม่ยิ่งใหญ่เทียบชั้นพ่อ แต่ก็ถือว่าไม่ธรรมดาเช่นกันเพราะมีสายสัมพันธ์กับคนเกือบทุกวงการ ตำรวจ ทหาร นักธุรกิจ นักการเมือง แม้แต่แวดวงกีฬา ปัจจุบันเจ้าตัวรับบทเป็นนายกฯสมาคมกีฬาม้าแข่งไทย นอกจากนี้ยังถูกพล.อ.ประวิตรดึงตัวไปช่วยงานที่บ้านอัมพวัน ในตำแหน่งผู้ช่วยเหรัญญิกคณะกรรมการโอลิมปิกแห่งประเทศไทย หนำซ้ำมีข่าวถูกวางตัวจากพล.อ.ประวิตรให้เป็น “ประมุขบ้านอัมพวัน” คนต่อไปหากวางมือ พล.อ.วิชญ์นั้นเป็นนายทหารสุภาพ พูดจาเรียบร้อย ร่างใหญ่ ใจโต พวกมาก กว้างขวางบารมี อดีตสมัยหนุ่มๆ เคยเป็นเพื่อนกินเพื่อนเที่ยวกับ “เสธ.ไอซ์” พล.อ.ไตรรงค์ อินทรทัต แกนนำตท.10 อดีตที่ปรึกษานายกฯ (สมัยนายทักษิณ) นายทหารผู้มากบารมีแห่งกองทัพ(เสียชีวิตแล้ว) แม้จะเรียนคนละรุ่นกัน โดยพล.อ.ไตรรงค์เป็นตท.10 พล.อ.วิชญ์เป็นตท.11 แต่ด้วยเหตุที่พล.อ.ไตรรงค์เรียนตกซ้ำชั้น 1 ปี เลยรู้จักเป็นอย่างดีกับบรรดานายทหารตท.11 โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับพล.อ.วิชญ์ เพราะพ่อก็เป็นเจ้านายเป็นนายทหารระดับสูงเหมือนกัน ด้วยเหตุนี้พล.อ.วิชญ์กับพล.อ.ไตรรงค์จึงสนิทกันเป็นอย่างดี ดึกดื่นไปเที่ยวไปกินเหล้ากันสุดท้ายพล.อ.ไตรรงค์กลับบ้านไม่ไหว ก็ไปจบไปนอนค้างที่บ้านสวนพุดตาน ภายในพระที่นั่งวิมานเมฆ ซึ่งเป็นบ้านพักของพล.อ.วิชญ์ตั้งแต่ยุคพ่อ ด้วยเหตุนี้พล.อ.วิชญ์จึงสนิทสนมกับพล.อ.ไตรรงค์เป็นพิเศษ ยิ่งไปกว่านั้นทั้งคู่ยังเป็นนายทหารสายคนรักม้าเหมือนกัน พล.อ.ไตรรงค์เป็นทหารม้าพันธุ์แท้เป็นพ่อม้าตั้งแต่เกิดจนตาย ขณะที่พล.อ.วิชญ์ก็ได้สายเลือดรักม้ามาจากพ่อเพราะเดินเข้าออกสนามม้าไทย-ฝรั่งตามรอยพ่อมาตั้งแต่เด็ก ทั้งคู่ต่างเข้าไปมีบทบาทที่สนามม้านางเลิ้ง ณ ราชตฤณมัยสมาคมแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์เช่นกัน พล.อ.ไตรรงค์เคยเป็นกรรมการสนามม้านางเลิ้ง ส่วนพล.อ.วิชญ์เป็นเลขาธิการราชตฤณภัยสมาคมฯคนสุดท้ายก่อนปิดตัวเป็นทางการคืนที่ดินให้กับหลวงไป
จากจุดนี้เองที่ทำให้พล.อ.วิชญ์ได้พบกับร.อ.ธรรมนัสที่เป็นน้องรักเป็นมือไม้คอยทำงานให้กับพล.อ.ไตรรงค์ในยุทธจักรสีเขียวสีกากีในแวดวงคนกลางคืนมานานหลายปี ส่งผลให้ร.อ.ธรรมนัสคุ้นเคยกับพล.อ.วิชญ์เป็นอย่างดี และนับถือเป็นพี่เลิฟอีกคนไม่ต่างจากพล.อ.ไตรรงค์ผู้เป็นนายในดวงใจตลอดกาล สุดท้ายก็เป็นพล.อ.วิชญ์นี้แหละที่ชี้ช่องทางสว่างให้ร.อ.ธรรมนัสย้ายพรรคจากเพื่อไทยหนีนายทักษิณชิ่งโทนี่มาซบอกอุ่นๆของลุงป้อม ณ ป่ารอยต่อ 5 จังหวัด ก่อนที่ร.อ.ธรรมนัสจะกางปีกแผ่บารมีใหญ่โตถึงขั้นเป็นเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ ฮึกเหิมถึงขั้นจะล่อเป้านายกฯตู่จะเลื่อยขาพล.อ.ประยุทธ์จะคว่ำสร.1คาศึกซักฟอก จนกลายเป็นเรื่องราวใหญ่โต และล่าสุดก็เป็นร.อ.ธรรมนัสที่เสนอพล.อ.ประวิตรให้ดึงลูกพี่เก่าอย่างพล.อ.วิชญ์มานั่งเป็นประธานยุทธศาสตร์พรรคพลังประชารัฐ เพื่อผนึกกำลังกันมุ้งต่างๆในพรรคที่อาจแข็งข้อ สำคัญสุดคือต้านพลังภายในจากพล.อ.ประยุทธ์ที่ต้องการเข้ามาแทรกแซงยึดอำนาจล้างไพ่ใหม่ในพรรคพลังประชารัฐ
///////////////////
