ข่าวที่น่าสนใจ
โดยนางสาววันวิสา เล่าว่า เมื่อวันที่ 23 กันยายน 2566 หลานชายได้โทรศัพท์มาขออนุญาตน้องสาว ซึ่งเป็นแม่ของน้องว่า จะออกไปเที่ยวกับเพื่อนซึ่งเป็นเด็กในหมู่บ้าน โดยผู้เป็นแม่เห็นว่า ลูกชายเป็นเด็กเรียบร้อยไม่เคยมีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกับใคร จึงอนุญาตกระทั่งช่วงดึกวันเดียวกันจึงได้รับแจ้งว่าลูกถูกยิงเสียชีวิต
ต่อมา ตำรวจ สภ.พิมาย ได้ติดตามจับกุมผู้ก่อเหตุได้ คือ นายเอกลักษณ์ พร้อมปืนที่ใช้ก่อเหตุ โดยผู้ต้องหา รับสารภาพว่า เป็นผู้ก่อเหตุยิงกลุ่มของผู้ตายจริง โดยอ้างว่าถูกกลุ่มของผู้ตายหาเรื่องและขว้างขวดใส่ก่อน จึงใช้ปืนที่พกติดตัวมายิงสวนไปเพื่อเป็นการข่มขู่ โดยไม่คิดว่าจะถูกใครจนถึงขั้นเสียชีวิต เบื้องต้น ตำรวจจึงแจ้งข้อหา “ฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา และมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต”
ต่อมาตำรวจ สภ.พิมาย ได้ส่งตัวนายเอกลักษณ์ ฟ้องศาลจังหวัดพิมาย ในข้อหา “ร่วมกันฆ่าผู้อื่น” โดยผู้ต้องหาได้ยื่นหลักทรัพย์ขอประกันตัวเป็นเงินสด 3 แสนบาท ก่อนศาลจะอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราว และนัดฟังคำพิพากษา เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2567 ที่ผ่านมา แต่ผู้ต้องหาไม่มาตามศาลนัด โดยส่งให้ทนายความมาขอเลื่อน ศาลจึงได้นัดฟังคำพิพากษาอีกครั้ง ในวันที่ 23 กรกฎาคม ที่ผ่านมา แต่ปรากฏว่าผู้ต้องหา ไม่มาตามนัดอีกศาลจึงอ่านคำพิพากษาลับหลัง โดยสั่งจำคุก 7 ปี 4 เดือน และให้ชดเชยค่าเสียหายแก่ครอบครัวผู้เสียชีวิตเป็นเงิน 2 ล้าน 3 แสนบาท
ที่ผ่านมา นายเอกลักษณ์ และพ่อแม่ไม่เคยออกมาแสดงความรับผิดชอบกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่มีการติดต่อพูดคุย และไม่เดินทางมาขอขมาศพหลานชาย รวมถึงไม่มีการช่วยเหลือเรื่องค่าทำศพแต่อย่างใด ทุกวันนี้รู้สึกเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และยังทำใจไม่ได้ เพราะน้องเป็นเด็กเรียนดีได้เกรดเฉลี่ย 3.68 มีความพยายามจนสอบเข้าโรงเรียนประจำจังหวัดได้ จึงอยากให้ตำรวจเร่งติดตามจับกุมคนร้ายให้ได้โดยเร็ว ที่สำคัญอยากให้พ่อแม่ และผู้ก่อเหตุได้สำนึกผิดกับเหตุการณ์ที่กระทำลงไป และอยากให้รับรู้ถึงความสูญเสีย และอยากให้รับกรรมที่ก่อขึ้น ไม่ใช่ใช้ชีวิตอย่างสุขสบายอย่างเช่นทุกวันนี้
ด้านนายเอกสิทธิ์ ศรีสังข์ ทนายความ กล่าวว่า ญาติของผู้เสียชีวิตได้ร้องเรียนมายังเพจ “ที่พึ่งล่าความอยุติธรรม” ตนเองจึงได้รับเรื่องร้องเรียน และพามาร้องของความช่วยเหลือจากตำรวจกองปราบปราม ให้ช่วยเร่งติดตามตัวคนร้ายมาดำเนินคดี จากข้อมูลที่ได้มาทราบว่า ผู้ต้องหารายนี้มีผู้มีอิทธิพลคอยหนุนหลัง และยังใช้ชีวิตสุขสบายอยู่ในพื้นที่ ไม่ได้หลบหนีไปไหน แต่ทางตำรวจ สภ.พิมาย ไม่ดำเนินการจับกุมตัว จึงต้องมาร้องให้ตำรวจกองปราบปราม จับกุมตัวคนร้ายมาดำเนินคดี เพราะเป็นที่พึ่งสุดท้ายของประชาชน.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
