หลังจากที่นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข โพสต์ข้อความผ่านเพจเฟซบุ๊ก โดยระบุว่า… หยุดกล่าวหาเท็จ หยุดให้ร้ายกระทรวงสาธารณสุข น่าตกใจที่มีข้อมูลว่า ไฟเซอร์เสนอขายวัคซีนให้ไทย 13 ล้านโดส แต่รัฐบาลไทย ไม่ซื้อ แม้จะมีเงื่อนไขว่า ให้วัคซีนก่อน จ่ายเงินทีหลังได้ ก็ถูกปฏิเสธ มากไปกว่านั้น ข้อเสนอนี้มาถึงประเทศไทย 4 ครั้ง ก็ยังไม่ได้รับความสนใจ
วันนี้ ผอ.สถาบันวัคซีนแห่งชาติ แถลงว่าข้อมูลทั้งหมดนี้เป็นเท็จ ผู้กล่าวหากระทรวงสาธารณสุข ใช้ข้อมูลเท็จ มาสร้างความเสียหายให้แก่กระทรวงสาธารณ สุขสถาบันวัคซีนแห่งชาติ ชี้แจงดังนี้
1 : Pfizer เคยเสนอขายวัคซีนให้ไทย 13 ล้าน จริงหรือไม่
@ ตัวเลข 13 ล้านเป็นตัวเลขที่ไฟเซอร์ใช้ในการนำเสนอ Head Office เพื่อเตรียมการหารือกับรัฐบาล ไม่ใช้จำนวนที่เสนอขาย
ทั้งนี้ ตัวเลขดังกล่าวเกิดจากการกำหนดแผนที่รัฐบาลเคยตั้งว่าจะมีการจัดซื้อวัคซีนแบบ Bi-lateral agreement คิดเป็น 10% ของจำนวนประชากร หรือประมาณ 6.7 ล้านคน (คนละ 2 โดส รวม ประมาณ 13 ล้านโดส)
2 : ไม่ต้องใช้เงินซื้อ มีวัคซีนให้ใช้ก่อนค่อยจ่ายทีหลัง
@ ไม่จริง การจัดซื้อวัคซีนของไฟเซอร์ ต้องมีการวางเงินจองตามเงื่อนไขในสัญญา และไม่มีการจัดส่งวัคซีนให้ก่อนแต่อย่างไร
3: ไฟเซอร์เสนอรัฐบาลไป 4 รอบ แต่ถูกปฏิเสธ
@ ไม่จริง ที่ผ่านมาไฟเซอร์ได้เข้านำเสนอข้อมูลผลการวิจัยในระยะต่างๆ รวมถึง ผลการใช้จริงในประเทศต่างๆ อยู่เป็นระยะ
รัฐบาลไม่เคยปฏิเสธการเข้าพบผู้แทนบริษัทฯ ที่ผ่านมาคุณลักษณะของวัคซีนโควิด-19 ของไฟเซอร์ ไบโอเอนเทค อาจมีข้อจำกัดเรื่องการขนส่ง จัดเก็บ และระยะเวลาส่งมอบ แต่ด้วยการปรับปรุงให้สามารถจัดเก็บได้สะดวกขึ้น การขยายช่วงอายุผู้สามารถรับวัคซีนได้ในกลุ่มเด็กเล็กตั้งแต่ 16 ปี และอีกไม่นานในเด็กอายุ 12 รวมถึง ในอนาคต
อีกทั้งบริษัทฯ ได้มีการขยายกำลังการผลิตออกไป จึงทำให้ รัฐบาลให้ความสนใจ และได้เชิญผู้แทนบริษัทไฟเซอร์ในประเทศไทยเข้าหารือ ในวันที่ 22 เม.ย. ซึ่งผมร่วมเป็นประธานในครั้งแรก และได้ดำเนินการสั่งจองพร้อมเข้าสู่การพิจารณาร่างเอกสารต่างๆ เพื่อให้สามารถส่งมอบวัคซีนให้ได้เร็วที่สุด
ขอความกรุณาทุกท่าน หยุดแชร์ข้อมูลเท็จ และหยุดแสวงหาประโยชน์ทางการเมืองในสถานการณ์โรคระบาด และความเดือดร้อนของประชาชน ตลอดจนสร้างความเข้าใจผิดต่อกระทรวงสาธารณสุข และความสับสนแก่ประชาชน
ขณะที่กระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์นคร เปรมศรี ผู้อำนวยการสถาบันวัคซีนแห่งชาติ ออกมาชี้แจงเกี่ยวกับการเจรจาจองซื้อวัคซีนของบริษัทไฟเซอร์ ที่ได้มีการส่งต่อในโซเชียลมีเดียว่า กรณีดังกล่าวได้มีการส่งต่อในโซเชียลมีเดีย โดยที่ไม่ได้สอบทานแหล่งข้อมูลอย่างดี จนทำให้เกิดความเข้าใจผิดกับประชาชน ซึ่งตนยืนยันว่า
1. กรณีที่ระบุว่าไฟเซอร์เคยเสนอขายวัคซีนให้ไทย 13 ล้านโดสนั้นไม่เป็นความจริง เพราะตัวเลข 13 ล้านโดส เป็นตัวเลขที่บริษัทไฟเซอร์ ประเทศไทย ใช้ในการนำเสนอบริษัทแม่ เพื่อเตรียมหารือกับกระทรวงสาธารณสุขเท่านั้น
2. กรณีระบุว่าการซื้อวัคซีนจากไฟเซอร์ไม่ต้องใช้เงินซื้อมีวัคซีน ให้ใช้ก่อนค่อยจ่ายทีหลังนั้น ก็ไม่เป็นความจริง การจัดซื้อวัคซีนของไฟเซอร์ต้องมีการจ่ายเงินจองตามเงื่อนไขที่ระบุในสัญญา และไม่มีข้อเสนอในการจัดส่งวัคซีนให้ใช้ก่อนแต่อย่างใด กรณีนี้ผู้ที่ได้รับการส่งต่อข้อมูลทางโซเชียลฯน่าจะตั้งข้อสงสัยแล้วว่าจะเป็นไปได้อย่างไร ที่จะมีบริษัทไหนให้ใช้วัคซีนก่อน โดยไม่ต้องเสียเงิน ท่ามกลางสถานการณ์การแย่งชิงวัคซีนทั่วโลก
และ 3 กรณีระบุว่าไฟเซอร์เสนอขายวัคซีนให้กับรัฐบาลถึง 4 รอบ แต่ถูกปฏิเสธนั้น ผู้อำนวยการสถาบันวัคซีนแห่งชาติ ก็ยืนยันอีกว่า ไม่เป็นความจริงเช่นกัน โดยที่ผ่านมาไฟเซอร์ได้เข้ามานำเสนอข้อมูลผลการวิจัยในระยะต่างๆ รวมถึงผลการใช้จริงในต่างประเทศให้แก่สถาบันวัคซีนแห่งชาติและกรมควบคุมโรคเป็นระยะ ยืนยันว่าไม่เคยมีการปฏิเสธการเข้าพบ ซึ่งเดิมวัคซีนของไฟเซอร์ต้องจัดเก็บในอุณหภูมิ -75 องศาเซลเซียสตลอดเวลา และเก็บในตู้เย็น 2-8 องศาฯได้เพียง 5 วัน อันนี้คือข้อจำกัดเดิม แต่เมื่อเรามีการข้อข้อมูลเพิ่มเติม จึงทราบว่ามีผลการศึกษาเพิ่มเติมในเรื่องการคงตัวของวัคซีน และความสามารถในการจัดเก็บที่สะดวกขึ้น ใช้อุณหภูมิในการจัดเก็บน้อยลงจากเดิม ที่ -20 องศา ทำให้การจัดส่งวัคซีนในไทยสะดวกขึ้น รวมถึงวัคซีนสามารถใช้ได้ในเด็กอายุ 12 ปีขึ้นไป และเงื่อนไขที่บริษัทสามารถส่งวัคซีนให้ใช้ได้ภายในปี 2564 จึงมีการเจรจาต่อเนื่อง เพื่อจองซื้อวัคซีนจากไฟเซอร์ โดยมีเป้าหมายให้ครอบคลุมประชากรในกลุ่มอายุ 12 ปีขึ้นไป ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการขออนุมัติจากสำนักงานอาหารและยาสหรัฐอเมริกา
ล่าสุด ผศ.ดร.วรัชญ์ ครุจิต รองคณบดีฝ่ายวางแผนและพัฒนา คณะนิเทศศาสตร์และนวัตกรรมการจัดการ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) และที่ปรึกษาด้านการสื่อสาร ศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) โพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊กถึงกรณีดังกล่าวว่า “เอาไงกับ Workpoint Today ดีครับ?
กระทงที่ 1 ลงข่าวที่เป็น Fake News พอสถาบันวัคซีนออกมาชี้แจงข้อเท็จจริงแล้ว ก็ยังไม่เอาข่าวนี้ออก (จริงๆข้อนี้ความผิดสองกระทงเลย)
กระทงที่ 2 เอารูปประกอบข่าว ที่ “ไม่ใช่” ภาพจากการประชุมวันนี้ (วันนี้ไม่ได้ประชุมห้องนี้ และผู้มาประชุมก็ไม่ตรง สีเสื้อนายกก็ไม่เหมือน มาทำให้คนเข้าใจผิดว่า นายก ไม่ได้ใส่แมสก์อีกแล้ว (วันนี้ท่านใส่ตลอดเวลา)
นี่หรือครับสื่อรุ่นใหม่?
ปล. ล่าสุด 8.00 น. น่าจะเห็นโพสต์ผมแล้ว เลยเปลี่ยนภาพข่าวที่ 2 เป็นรูปอื่น แต่ข่าว Fake News ยังไม่เอาออก
https://www.facebook.com/workpointTODAY/posts/1588054114897194
https://www.facebook.com/workpointTODAY/posts/1588321124870493