หมอเหรียญฯ แจ้งข่าวดีศาลอุทธรณ์ยกฟ้องหมิ่น “สิระ” แล้ว มั่นใจชนะในชั้นฎีกา

หมอเหรียญฯ แจ้งข่าวดีศาลอุทธรณ์ยกฟ้องหมิ่น "สิระ" แล้ว มั่นใจชนะในชั้นฎีกา

 

17 ม.ค.2567 พล.ต.เหรียญทอง แน่นหนา ผู้อำนวยการโรงพยาบาลมงกุฏวัฒนะ โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวระบุว่า ผมขอความกรุณาจากสังคมออนไลน์ว่า เมื่อผมถูกศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุกสื่อมวลชนก็เผยแพร่ข่าวสารการจำคุกผมกันอย่างกว้างขวางทั้ง ๆ ที่รอลงอาญา ผมเห็นว่าไม่เป็นธรรมกับผมเพราะโจทก์ซึ่งเป็นนักการเมืองก่อเหตุบุกรุก รพ.สนามจนเป็นที่มาของคดีหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา

ดังนั้นผมจึงอุทธรณ์คดีนี้ เมื่อศาลอุทธรณ์ไม่เห็นพ้องด้วยกับศาลชั้นต้นจึงกลับคำพิพากษาของศาลชั้นต้นด้วยการยกฟ้อง ผมจึงขอความเมตตาจากสื่อมวลชนและสังคมได้โปรดเผยแพร่ให้สาธารณชนทราบทั่วกันให้ผมด้วยครับ
พลตรี เหรียญทอง แน่นหนา

จำเลยจากการปกป้อง รพ.สนามในสถานการณ์โควิดเมื่อ พ.ศ.2564

 

 

 

 

ข่าวที่น่าสนใจ

 

โดยเมื่อวันที่ 16 มกราคม 2567 พล.ต.เหรียญทอง แน่นหนา ผู้อำนวยการโรงพยาบาลมงกุฏวัฒนะ ก็ได้โพสต์ข้อความไว้ด้วยเช่นกัน ระบุว่า เช้าวันนี้ 16 ม.ค.67 เวลา 10.00 น. ผมในฐานะจำเลยผู้อุทธรณ์คำพิพากษาศาลอาญาซึ่งเป็นศาลชั้นต้นที่พิพากษาจำคุกผม ๓ ปี แต่ให้รอลงอาญา ๒ ปี และให้เสียค่าปรับ ๓๐๐,๐๐๐ บาท ฯลฯ ในคดีที สส(เทียม) ฟ้องกล่าวหาว่าผมหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา ซึ่งผมเห็นว่าไม่ยุติธรรม ผมจึงอุทธรณ์ต่อศาลอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ได้กลับคำพิพากษาของศาลอาญาซึ่งเป็นศาลชั้นต้น โดยพิพากษาให้ยกฟ้องของโจทก์ สส(เทียม) มีสาระสำคัญตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ดังความต่อไปนี้

ปัญหาว่าที่จำเลยโพสต์ข้อความตามคำฟ้องข้อ ๒.๑ ถึงข้อ ๒.๓ เป็นการหมิ่นประมาทโจทก์หรือไม่ ศาลอุทธรณ์เห็นสมควรวินิจฉัยไปพร้อมกันเห็นว่า การพิจารณาว่าถ้อยคำดังกล่าวหรือข้อความที่โพสต์เป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทหรือไม่ ต้องพิจารณาถึงมูลเหตุที่มาที่ไปของการกล่าวถ้อยคำหรือการโพสต์ข้อความ บริบทของเรื่องนั้นๆ สถานภาพและบุคลิกภาพของผู้กล่าวถ้อยคำหรือผู้โพสต์ข้อความ ตลอดจนสถานะของผู้ถูกกล่าวพาดพิงหรือถูกโพสต์ถึง ทั้งต้องพิจารณาภาพรวมของข้อความที่กล่าวหรือที่โพสต์ทั้งหมดประกอบกันด้วย หาใช่พิจารณาเพียงความหมายของถ้อยคำกล่าวหรือข้อความเพียงบางส่วนบางตอนที่โพสต์แต่เพียงประการเดียว

คดีนี้ข้อเท็จจริงได้ความว่ามูลเหตุของเรื่องมาจากเมื่อวันที่ ๗ พฤษภาคม ๒๕๖๔ เวลาประมาณ ๙ นาฬิกา โจทก์กับพวกพร้อมนักข่าวประมาณ ๒๐ คน เข้าไปในสถานที่ก่อสร้างโรงพยาบาลสนามเพื่อรักษาโรคโควิด-๑๙ บริเวณถนนแจ้งวัฒนะของจำเลยโดยไม่ได้รับอนุญาต
ระหว่างโจทก์อยู่บริเวณสถานที่ก่อสร้างโรงพยาบาลสนามของจำเลย โจทก์พูดคุยทางโทรศัพท์กับจำเลย โดยโจทก์เปิดลำโพงโทรศัพท์ออกสื่อ และเกิดการโต้เถียงกันระหว่างโจทก์กับจำเลยผ่านทางโทรศัพท์

หลังจากสนทนาทางโทรศัพท์กับจำเลยแล้ว โจทก์ให้สัมภาษณ์สื่อทำนองว่า โจทก์มาตรวจสอบสถานที่ก่อสร้างโรงพยาบาลสนามของจำเลยว่า มีการขออนุญาตจัดตั้งต่อทางราชการหรือไม่ และมีความปลอดภัยเกี่ยวกับการแพร่เชื้อหรือไม่ตามภาพถ่ายหมาย ล.๑ และคลิปวิดีโอหมาย วล.๑
เมื่อโจทก์กับพวกออกจากสถานที่ก่อสร้างโรงพยาบาลสนามของจำเลยแล้ว มีชาวบ้านนำป้ายมาประท้วงการก่อสร้างโรงพยาบาลสนามของจำเลย และนำรถยนต์มาจอดปิดทางเข้าออกสถานที่ก่อสร้างโรงพยาบาลสนามของจำเลยตามภาพถ่ายหมาย ล.๕
ต่อมาโจทก์ให้สัมภาษณ์สื่อว่า จำเลยไม่ได้ขออนุญาตก่อสร้างโรงพยาบาลสนามต่อทางราชการ เป็นโรงพยาบาลเถื่อน จำเลยเป็นคนบาปในคราบนักบุญ โรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะของจำเลยคิดค่าจัดการศพโรคโควิด-๑๙ แพงมาก จำเลยเป็นคนหน้าเลือด ขูดรีดคนตาย เอากำไรจากผู้ตกทุกข์ได้ยาก หากินกับศพ

จำเลยได้ยื่นฟ้องโจทก์ข้อหาบุกรุกและหมิ่นประมาทต่อศาลแขวงดอนเมืองตามคดีอาญาหมายเลขดำที่ อ.๕๙๔/๒๕๖๔ ตามสำเนาคำฟ้องเอกสารหมาย ล.๒

ต่อมาเมื่อวันที่ ๒๙ สิงหาคม ๒๕๖๕ ศาลแขวงดอนเมืองพิพากษาว่า โจทก์มีความผิดฐานบุกรุกและหมิ่นประมาทจำเลย ให้จำคุกโจทก์ รวม ๑๖ เดือน โดยไม่รอการลงโทษตามภาพถ่ายข่าวเอกสารหมาย ล.๗

เมื่อพิเคราะห์ข้อความที่จำเลยโพสต์ตามคำฟ้องข้อ ๒.๑ ถึงข้อ ๒.๓ ล้วนแต่เป็นเรื่องที่สืบเนื่องมาจากโจทก์กับพวกนำสื่อมวลชนเข้าไปในสถานที่ก่อสร้างโรงพยาบาลสนามของจำเลยโดยไม่ได้รับอนุญาต

ซึ่งเหตุผลที่โจทก์อ้างว่าเข้าตรวจสอบการก่อสร้าง ไม่ว่าจะเรื่องใบอนุญาตก่อสร้างก็ดี ระบบบำบัดน้ำ หรือการกำจัดเชื้อโรคก็ดี โจทก์ในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและเป็นประธานคณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน สามารถสืบค้นและตรวจสอบข้อมูลได้โดยง่ายว่า การจัดตั้งโรงพยาบาลสนามเพื่อรักษาโรคโควิด-๑๙ ตามกฎหมายที่ใช้ในสถานการณ์ฉุกเฉิน ไม่จำเป็นต้องขออนุญาตจัดตั้ง ต้องรอให้มีการก่อสร้างโรงพยาบาลสนามเสร็จเสียก่อน ทางราชการจึงจะเข้ามาตรวจสอบสภาพและความเรียบร้อยก่อนออกใบอนุญาตให้ผู้จัดตั้ง

และขณะนั้นโรงพยาบาลสนามของจำเลยอยู่ในระหว่างก่อสร้าง ย่อมไม่ใช่เวลาที่โจทก์กับพวกจะไปตรวจสอบระบบความปลอดภัยเกี่ยวกับการแพร่เชื้อโรค ทั้งปรากฎว่าขณะโจทก์กับพวกเข้าไปยังสถานที่ก่อสร้างโรงพยาบาลสนามของจำเลยนั้น สถานการณ์โรคโควิด-๑๙ กำลังแพร่ระบาดอย่างหนัก จำต้องมีโรงพยาบาลสนามมารองรับผู้ป่วยจำนวนมาก แทนที่โจทก์ในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจะใช้ศักยภาพและเครือข่ายที่ตนมีอยู่ร่วมแรงร่วมใจช่วยผลักดัน และสนับสนุนจำเลยให้เร่งรีบจัดตั้งโรงพยาบาลสนามเพื่อรักษาชีวิตของประชาชนในเขตพื้นที่ แต่โจทก์กลับอ้างว่าได้รับการร้องเรียนจากชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบไม่กี่คนเข้าไปยังสถานที่ก่อสร้างโรงพยาบาลสนามของจำเลยโดยไม่ได้รับอนุญาต มีการนัดหมายนักข่าวจำนวนมากไปทำข่าวครึกโครม พฤติการณ์ส่อว่ามีการวางแผนการเข้าไปตรวจสอบโรงพยาบาลสนามของจำเลยเพื่อสร้างกระแสข่าวหวังผลบางประการ ซึ่งไม่เป็นธรรมต่อจำเลยที่ทุ่มเทพละกำลังช่วยเหลือประชาชนผู้ติดเชื้อโควิด-๑๙ อย่างเต็มความสามารถ ดังจะเห็นว่าโจทก์ถูกศาลแขวงดอนเมืองพิพากษาจำคุกในความผิดฐานบุกรุกและหมิ่นประมาทจำเลย แสดงให้เห็นว่าการที่โจทก์เข้าไปยังสถานที่ก่อสร้างโรงพยาบาลสนามของจำเลยเป็นการละเมิดกฎหมาย

 

เมื่อพิจารณาข้อความที่จำเลยโพสต์ตามคำฟ้องข้อ ๒.๑ จะเห็นว่ามีสาระหลักเป็นการชี้แจง ในกรณีที่โจทก์กับพวกพานักข่าวเข้าไปยังสถานที่ก่อสร้างโรงพยาบาลสนามของจำเลย และให้สัมภาษณ์กล่าวหาจำเลยว่าโรงพยาบาลสนามของจำเลยเป็นโรงพยาบาลเถื่อน เพราะไม่ได้ขออนุญาตจัดตั้ง

การโพสต์ของจำเลยเป็นการอธิบายว่า จำเลยได้ยื่นขออนุญาตต่อกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ(สบส) ตั้งแต่วันที่ ๕ พฤษภาคม ๒๕๖๔ ก่อนที่โจทก์จะพาพวกเข้าไป และจำเลยโพสต์ชี้แจงขั้นตอนการออกใบอนุญาตว่า สบส.ต้องมาตรวจสอบสภาพและความเรียบร้อยของโรงพยาบาลสนามที่สร้างเสร็จแล้วเสียก่อน จึงจะออกใบอนุญาให้จำเลยได้

 

นอกจากนี้จำเลยยังโพสต์ชี้แจงเกี่ยวกับขั้นตอนการจัดตั้งโรงพยาบาลสนามตามพระราชกำหนดในสถานการณ์ฉุกเฉินว่าไม่ต้องขออนุญาตจัดตั้ง มีเผยแพร่ประกาศหลักเกณฑ์การจัดตั้งโรงพยาบาลสนามในราชกิจจานุเบกษามานาน ๑ ปีกว่าแล้ว พร้อมโพสต์ตำหนิโจทก์ว่า โจทก์เป็นถึงประธานคณะกรรมาธิการการกฎหมาย สภาผู้แทนราษฎร แต่กลับไม่มีความรู้ในเรื่องกฎหมายการจัดตั้งโรงพยาบาลสนาม ดังนั้นข้อความทั้งหมดที่จำเลยโพสต์ตามคำฟ้องข้อ ๒.๑ จึงเป็นการชี้แจงประเด็นที่จำเลยถูกกล่าวหาจากโจทก์

ส่วนข้อความที่จำเลยโพสต์ถึงโจทก์โดยใช้คำว่า “ไอ้กุ๊ยหลักสี่” “ไอ้กุ๊ย” หรือ “กุ๊ย” ก็ดี และกรณีจำเลยโพสต์ข้อความตามคำฟ้อง
ข้อ ๒.๒ ว่า “…ไม่ใช่เวลาที่ผมต้องเสียเวลาไปกับการกลั่นแกล้งใช้กฎหมายของคนหิวแสงนะครับ…” ข้อความว่า “…ผมไม่ได้กลัวอำนาจนักการเมืองส้นตีนหิวแสงสร้างภาพหรอกนะครับ…” และข้อความว่า “…สถานการณ์วิกฤตอย่างนี้ยังจะมาก่อกวนผมอีก…เลวฉิบหาย…ออกหมายจับมาเลย…”

และที่จำเลยโพสต์ข้อความตามคำฟ้องข้อ ๒.๓ ว่า “…นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐบาลไม่ได้ให้การสนับสนุนนักการเมืองเลวตนนี้หรอกครับ…”
เมื่อพิจารณาข้อความที่จำเลยโพสต์จะพบว่า จำเลยโพสต์คำว่า “ไอ้เหี้ย’ “ไอ้สัส” “มึง’ อยู่หลายแห่ง โดยจำเลยโพสต์ขอโทษผู้อ่านข้อความในความหยาบคายของตน และโพสต์ว่า ธาตุแท้ของจำเลยเติบโตมาจากดงนักเลง ๒๔๙๙ ย่านหัวลำโพง และเป็นคนประเภท “ตาต่อตา ฟันต่อฟัน”

 

จากถ้อยคำที่จำเลยโพสต์ดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงบุคลิกภาพของจำเลยว่า เป็นคนตรง ไม่กลัวคน แข็งกร้าว ไม่ยอมคน ถ้อยคำที่จำเลยโพสต์ถึงตัวโจทก์ดังกล่าวข้างต้นแสดงถึงความอัดอั้นของจำเลยที่ถูกโจทก์กระทำ

เมื่อคำนึงถึงบุคลิกภาพของจำเลยประกอบด้วยแล้ว เห็นว่าข้อความที่จำเลยโพสต์ถึงโจทก์ล้วนเป็นเรื่องพฤติกรรมของโจทก์ที่เกี่ยวเนื่องอยู่ในขอบเขตของเรื่องที่จำเลยถูกกระทำดังกล่าวจากโจทก์ เป็นการตอบโต้การกระทำของโจทก์ อันเป็นการแสดงความคิดเห็นโดยสุจริตเพื่อความชอบธรรม ป้องกันตนเอง หรือป้องกันส่วนได้เสียเกี่ยวกับตนตามคลองธรรมตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๒๙(๑)
จำเลยโพสต์ข้อความตามฟ้องข้อ ๒.๑ ถึงข้อ ๒.๓ จึงไม่เป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทโจทก์ เมื่อวินิจฉัยดังนี้แล้วกรณีไม่จำต้องวินิจฉัยอุทธรณ์ข้ออื่นของจำเลยอีกต่อไป

ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยกระทำความผิดฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณาตามฟ้องนั้น ศาลอุทธรณ์ไม่เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของจำเลยฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
พลตรี เหรียญทอง แน่นหนา
จำเลยจากการปกป้อง รพ.สนามในสถานการณ์โควิด-19 เมื่อปี พ.ศ.2564

หมายเหตุ ความฝันอันสูงสุดอยู่ในจิตวิญญาณของผมไม่เคยเสื่อมคลาย

ขอฝันใฝ่ในฝันอันเหลือเชื่อ
ขอสู้ศึกทุกเมื่อไม่หวั่นไหว
ขอทนทุกข์รุกโรมโหมกายใจ
ขอฝ่าฟันผองภัยด้วยใจทะนง
จะแน่วแน่แก้ไขในสิ่งผิด
จะรักชาติจนชีวิตเป็นผุยผง
จะยอมตายหมายให้เกียรติดำรง
จะปิดทองหลังองค์พระปฏิมา
ไม่ท้อถอยคอยสร้างสิ่งที่ควร
ไม่เรรวนพะว้าพะวังคิดกังขา
ไม่เคืองแค้นน้อยใจในโชคชะตา
ไม่เสียดายชีวาถ้าสิ้นไป
นี่คือปณิธานที่หาญมุ่ง
หมายผดุงยุติธรรม์อันสดใส
ถึงทนทุกข์ทรมานนานเท่าใด
ยังมั่นใจรักชาติองอาจครัน
โลกมนุษย์ย่อมจะดีกว่านี้แน่
เพราะมีผู้ไม่ยอมแพ้แม้ถูกหยัน
คงยืนหยัดสู้ไปใฝ่ประจัญ
ยอมอาสัญก็เพราะปองเทิดผองไทย

 

 

 

 

ก่อนหน้านั้น เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2566 ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาฯ ศาลนัดฟังคำพิพากษาคดี ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 4 เป็นโจทก์ และนายสิระ เจนจาคะ อดีต ส.ส.กทม.พรรคพลังประชารัฐ เป็นโจทก์ร่วม ยื่นฟ้อง นพ.เหรียญทอง แน่นหนา ผอ.โรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ เป็นจำเลยในความผิดฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา ตามมาตรา 328 ซึ่งจำเลยให้การปฏิเสธ

 

 


โจทก์ฟ้องสรุปว่า เมื่อวันที่ 7 พ.ค. 2564 เวลากลางวัน และเวลากลางคืน จำเลยใช้ชื่อบัญชีเฟซบุ๊กว่า “เหรียญทอง แน่นหนา” ได้โพสต์ข้อความทำนองว่า การที่ ส.ส. สิระ เจนจาคะ ผู้แทนเขตหลักสี่และสำนักงานเขตหลักสี่ ร่วมกันปิดทางเข้า รพ.สนามพลังแผ่นดิน เป็นการขัดขวางการช่วยเหลือผู้ป่วยโควิด-19 และดูหมิ่นผู้เสียหายด้วยถ้อยคำหยาบคาย เป็นนักการเมืองที่มีพฤติกรรมที่ไม่ดี ไม่เหมาะสม ลงในเฟซบุ๊ก (Facebook) ซึ่งตั้งค่าระบบเป็นสาธารณะเพื่อให้ประชาชนและบุคคลทั่วไปสามารถเข้าถึงได้ และเมื่อได้อ่านข้อความดังกล่าวอาจเข้าใจว่า เป็นข้าราชการและนักการเมืองที่มีพฤติการณ์ไม่ดี ทำให้ได้รับความอับอาย เสื่อมเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นเกลียดชัง เหตุเกิดที่แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กทม. โดยนพ.เหรียญทอง พร้อมทนายความ จำเลย เดินทางมาฟังคำพิพากษา

ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานแล้ว เห็นว่าจำเลยย่อมทราบว่า การไปตรวจสถานที่ดังกล่าวของเจ้าหน้าที่เขตหลักสี่ และนายสิระ โจทก์ร่วม เพราะได้รับการร้องเรียนจากชาวบ้าน จำเลยสามารถอธิบายข้อเท็จจริงให้ฟังเท่านั้นก็ได้ แต่กลับไปโพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊ก ซึ่งไม่ใช่การแสดงความคิดเห็น หรือติชมด้วยความเป็นธรรม เป็นการหมิ่นประมาทโจทก์ร่วม ซึ่งขณะนั้นเป็นคณะกรรมาธิการการกฎหมายการยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร ส่วนจำเลยเป็นบุคคลสาธารณะ มีผู้ติดตามบัญชีเฟซบุ๊กจำเลยจำนวนมาก การที่จำเลยโพสต์ข้อความกล่าวถึงโจทก์ร่วมย่อมเป็นที่กระจายไปสู่วงกว้างและย่อมเป็นที่เสียหายแก่ชื่อเสียงของโจทก์ร่วม การกำหนดค่าสินไหมทดแทนจะพึงใช้โดยสถานใดเพียงใดนั้น ให้ศาลวินิจฉัยตามควรแก่พฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งละเมิด ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 438 วรรคหนึ่ง จึงเห็นควรกำหนดให้บางส่วน ให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในส่วนนี้เป็นเงิน 200,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี

พิพากษาว่าจำเลยกระทำความผิด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 328 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 จำคุกกระทงละ 1 ปี และปรับ 100,000 บาท รวม 2 กระทง คงจำคุก 2 ปี และปรับ 200,000 บาท เมื่อพิเคราะห์ถึงการกระทำของจำเลยแล้วมีความมุ่งหมายที่จะช่วยเหลือประชาชนและจำเลยประกอบคุณงามความดีแก่สังคม โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้ 2 ปี โดยให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ร่วมเป็นเงิน 200,000 บาท

มีรายงานว่า เวลาเดียวกันที่ศาลแขวงดอนเมือง ศาลนัดฟังคำพิพากษาในคดีที่ นพ.เหรียญทอง ฟ้องนายสิระ เป็นจำเลยฐานหมิ่นประมาทและบุกรุก กรณีนายสิระบุกเข้าไปใน รพ.สนาม และกล่าวข้อความพาดพิง นพ.เหรียญทอง เสียหาย ผลคำพิพากษาจะแจ้งให้ทราบ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ข่าวล่าสุด

ชื่นชม ! ตำรวจสายตรวจนาจอมเทียน รีบปั้มหัวใจ ชายขับเก๋งหมดสติก่อนชนรถริมทางชนฟุตบาท
“ชูวิทย์” คัมแบ็ก ฟาดเดือด นำกัญชาคืนยาเสพติด นโยบายกลับกลอกน่าสมเพช
คาเมเนอีชี้ทรัมป์โม้เกินจริงปมถล่มโรงงานนิวเคลียร์อิหร่าน
แอมเนสตี้ชี้รัฐบาลกัมพูชาสมรู้ร่วมคิดแก๊งคอลเซนเตอร์เขมร
"เดชอิศม์" เสียงเข้มปชป.ทุกคนต้องทำตามมติพรรค เผยส่งแล้ว 3 ชื่อร่วมครม.
"อีสท์ วอเตอร์" แจ้งข่าว ชำระคืนหุ้นกู้ 1,200 ล้าน แล้ว จัดอันดับเครดิตระดับ A- คงที่ ตอกย้ำการเงินแกร่ง
ปลุกระดมใหญ่ "ฮุน เซน" ฝากถึงคนไทย พรุ่งนี้เปิดแผนลับ "ทักษิณ" วางเป้าเปลี่ยนผู้นำ เคยหมิ่นสถาบันฯ
ตร.ระยอง รวบผู้ต้องหาค้ายาเสพติดพร้อมของกลางยาบ้า 390,000 เม็ด คารถเก๋ง
พลิกโฉมเมืองด้วยการจัดรูปที่ดิน ความร่วมมือรัฐ–ท้องถิ่น-ประชาชนขับเคลื่อนโครงการพัฒนาเมืองน่านสู่อนาคต
สธ.คุมเข้ม แจงประกาศ "กัญชา" ใช้ได้เฉพาะทางแพทย์ ห้ามซื้อขายเสรี เดินหน้าดันร่าง พ.ร.บ.เข้าสู่ ครม.แล้ว

ดู LIVE รายการ

X

เราใช้ คุ้กกี้ เพื่อให้ทุกคนได้ประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น