โดยเมื่อวันที่ 16 มกราคม 2567 พล.ต.เหรียญทอง แน่นหนา ผู้อำนวยการโรงพยาบาลมงกุฏวัฒนะ ก็ได้โพสต์ข้อความไว้ด้วยเช่นกัน ระบุว่า เช้าวันนี้ 16 ม.ค.67 เวลา 10.00 น. ผมในฐานะจำเลยผู้อุทธรณ์คำพิพากษาศาลอาญาซึ่งเป็นศาลชั้นต้นที่พิพากษาจำคุกผม ๓ ปี แต่ให้รอลงอาญา ๒ ปี และให้เสียค่าปรับ ๓๐๐,๐๐๐ บาท ฯลฯ ในคดีที สส(เทียม) ฟ้องกล่าวหาว่าผมหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา ซึ่งผมเห็นว่าไม่ยุติธรรม ผมจึงอุทธรณ์ต่อศาลอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ได้กลับคำพิพากษาของศาลอาญาซึ่งเป็นศาลชั้นต้น โดยพิพากษาให้ยกฟ้องของโจทก์ สส(เทียม) มีสาระสำคัญตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ดังความต่อไปนี้
ปัญหาว่าที่จำเลยโพสต์ข้อความตามคำฟ้องข้อ ๒.๑ ถึงข้อ ๒.๓ เป็นการหมิ่นประมาทโจทก์หรือไม่ ศาลอุทธรณ์เห็นสมควรวินิจฉัยไปพร้อมกันเห็นว่า การพิจารณาว่าถ้อยคำดังกล่าวหรือข้อความที่โพสต์เป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทหรือไม่ ต้องพิจารณาถึงมูลเหตุที่มาที่ไปของการกล่าวถ้อยคำหรือการโพสต์ข้อความ บริบทของเรื่องนั้นๆ สถานภาพและบุคลิกภาพของผู้กล่าวถ้อยคำหรือผู้โพสต์ข้อความ ตลอดจนสถานะของผู้ถูกกล่าวพาดพิงหรือถูกโพสต์ถึง ทั้งต้องพิจารณาภาพรวมของข้อความที่กล่าวหรือที่โพสต์ทั้งหมดประกอบกันด้วย หาใช่พิจารณาเพียงความหมายของถ้อยคำกล่าวหรือข้อความเพียงบางส่วนบางตอนที่โพสต์แต่เพียงประการเดียว
คดีนี้ข้อเท็จจริงได้ความว่ามูลเหตุของเรื่องมาจากเมื่อวันที่ ๗ พฤษภาคม ๒๕๖๔ เวลาประมาณ ๙ นาฬิกา โจทก์กับพวกพร้อมนักข่าวประมาณ ๒๐ คน เข้าไปในสถานที่ก่อสร้างโรงพยาบาลสนามเพื่อรักษาโรคโควิด-๑๙ บริเวณถนนแจ้งวัฒนะของจำเลยโดยไม่ได้รับอนุญาต
ระหว่างโจทก์อยู่บริเวณสถานที่ก่อสร้างโรงพยาบาลสนามของจำเลย โจทก์พูดคุยทางโทรศัพท์กับจำเลย โดยโจทก์เปิดลำโพงโทรศัพท์ออกสื่อ และเกิดการโต้เถียงกันระหว่างโจทก์กับจำเลยผ่านทางโทรศัพท์
หลังจากสนทนาทางโทรศัพท์กับจำเลยแล้ว โจทก์ให้สัมภาษณ์สื่อทำนองว่า โจทก์มาตรวจสอบสถานที่ก่อสร้างโรงพยาบาลสนามของจำเลยว่า มีการขออนุญาตจัดตั้งต่อทางราชการหรือไม่ และมีความปลอดภัยเกี่ยวกับการแพร่เชื้อหรือไม่ตามภาพถ่ายหมาย ล.๑ และคลิปวิดีโอหมาย วล.๑
เมื่อโจทก์กับพวกออกจากสถานที่ก่อสร้างโรงพยาบาลสนามของจำเลยแล้ว มีชาวบ้านนำป้ายมาประท้วงการก่อสร้างโรงพยาบาลสนามของจำเลย และนำรถยนต์มาจอดปิดทางเข้าออกสถานที่ก่อสร้างโรงพยาบาลสนามของจำเลยตามภาพถ่ายหมาย ล.๕
ต่อมาโจทก์ให้สัมภาษณ์สื่อว่า จำเลยไม่ได้ขออนุญาตก่อสร้างโรงพยาบาลสนามต่อทางราชการ เป็นโรงพยาบาลเถื่อน จำเลยเป็นคนบาปในคราบนักบุญ โรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะของจำเลยคิดค่าจัดการศพโรคโควิด-๑๙ แพงมาก จำเลยเป็นคนหน้าเลือด ขูดรีดคนตาย เอากำไรจากผู้ตกทุกข์ได้ยาก หากินกับศพ
จำเลยได้ยื่นฟ้องโจทก์ข้อหาบุกรุกและหมิ่นประมาทต่อศาลแขวงดอนเมืองตามคดีอาญาหมายเลขดำที่ อ.๕๙๔/๒๕๖๔ ตามสำเนาคำฟ้องเอกสารหมาย ล.๒
ต่อมาเมื่อวันที่ ๒๙ สิงหาคม ๒๕๖๕ ศาลแขวงดอนเมืองพิพากษาว่า โจทก์มีความผิดฐานบุกรุกและหมิ่นประมาทจำเลย ให้จำคุกโจทก์ รวม ๑๖ เดือน โดยไม่รอการลงโทษตามภาพถ่ายข่าวเอกสารหมาย ล.๗
เมื่อพิเคราะห์ข้อความที่จำเลยโพสต์ตามคำฟ้องข้อ ๒.๑ ถึงข้อ ๒.๓ ล้วนแต่เป็นเรื่องที่สืบเนื่องมาจากโจทก์กับพวกนำสื่อมวลชนเข้าไปในสถานที่ก่อสร้างโรงพยาบาลสนามของจำเลยโดยไม่ได้รับอนุญาต
ซึ่งเหตุผลที่โจทก์อ้างว่าเข้าตรวจสอบการก่อสร้าง ไม่ว่าจะเรื่องใบอนุญาตก่อสร้างก็ดี ระบบบำบัดน้ำ หรือการกำจัดเชื้อโรคก็ดี โจทก์ในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและเป็นประธานคณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน สามารถสืบค้นและตรวจสอบข้อมูลได้โดยง่ายว่า การจัดตั้งโรงพยาบาลสนามเพื่อรักษาโรคโควิด-๑๙ ตามกฎหมายที่ใช้ในสถานการณ์ฉุกเฉิน ไม่จำเป็นต้องขออนุญาตจัดตั้ง ต้องรอให้มีการก่อสร้างโรงพยาบาลสนามเสร็จเสียก่อน ทางราชการจึงจะเข้ามาตรวจสอบสภาพและความเรียบร้อยก่อนออกใบอนุญาตให้ผู้จัดตั้ง
และขณะนั้นโรงพยาบาลสนามของจำเลยอยู่ในระหว่างก่อสร้าง ย่อมไม่ใช่เวลาที่โจทก์กับพวกจะไปตรวจสอบระบบความปลอดภัยเกี่ยวกับการแพร่เชื้อโรค ทั้งปรากฎว่าขณะโจทก์กับพวกเข้าไปยังสถานที่ก่อสร้างโรงพยาบาลสนามของจำเลยนั้น สถานการณ์โรคโควิด-๑๙ กำลังแพร่ระบาดอย่างหนัก จำต้องมีโรงพยาบาลสนามมารองรับผู้ป่วยจำนวนมาก แทนที่โจทก์ในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจะใช้ศักยภาพและเครือข่ายที่ตนมีอยู่ร่วมแรงร่วมใจช่วยผลักดัน และสนับสนุนจำเลยให้เร่งรีบจัดตั้งโรงพยาบาลสนามเพื่อรักษาชีวิตของประชาชนในเขตพื้นที่ แต่โจทก์กลับอ้างว่าได้รับการร้องเรียนจากชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบไม่กี่คนเข้าไปยังสถานที่ก่อสร้างโรงพยาบาลสนามของจำเลยโดยไม่ได้รับอนุญาต มีการนัดหมายนักข่าวจำนวนมากไปทำข่าวครึกโครม พฤติการณ์ส่อว่ามีการวางแผนการเข้าไปตรวจสอบโรงพยาบาลสนามของจำเลยเพื่อสร้างกระแสข่าวหวังผลบางประการ ซึ่งไม่เป็นธรรมต่อจำเลยที่ทุ่มเทพละกำลังช่วยเหลือประชาชนผู้ติดเชื้อโควิด-๑๙ อย่างเต็มความสามารถ ดังจะเห็นว่าโจทก์ถูกศาลแขวงดอนเมืองพิพากษาจำคุกในความผิดฐานบุกรุกและหมิ่นประมาทจำเลย แสดงให้เห็นว่าการที่โจทก์เข้าไปยังสถานที่ก่อสร้างโรงพยาบาลสนามของจำเลยเป็นการละเมิดกฎหมาย
เมื่อพิจารณาข้อความที่จำเลยโพสต์ตามคำฟ้องข้อ ๒.๑ จะเห็นว่ามีสาระหลักเป็นการชี้แจง ในกรณีที่โจทก์กับพวกพานักข่าวเข้าไปยังสถานที่ก่อสร้างโรงพยาบาลสนามของจำเลย และให้สัมภาษณ์กล่าวหาจำเลยว่าโรงพยาบาลสนามของจำเลยเป็นโรงพยาบาลเถื่อน เพราะไม่ได้ขออนุญาตจัดตั้ง
การโพสต์ของจำเลยเป็นการอธิบายว่า จำเลยได้ยื่นขออนุญาตต่อกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ(สบส) ตั้งแต่วันที่ ๕ พฤษภาคม ๒๕๖๔ ก่อนที่โจทก์จะพาพวกเข้าไป และจำเลยโพสต์ชี้แจงขั้นตอนการออกใบอนุญาตว่า สบส.ต้องมาตรวจสอบสภาพและความเรียบร้อยของโรงพยาบาลสนามที่สร้างเสร็จแล้วเสียก่อน จึงจะออกใบอนุญาให้จำเลยได้
นอกจากนี้จำเลยยังโพสต์ชี้แจงเกี่ยวกับขั้นตอนการจัดตั้งโรงพยาบาลสนามตามพระราชกำหนดในสถานการณ์ฉุกเฉินว่าไม่ต้องขออนุญาตจัดตั้ง มีเผยแพร่ประกาศหลักเกณฑ์การจัดตั้งโรงพยาบาลสนามในราชกิจจานุเบกษามานาน ๑ ปีกว่าแล้ว พร้อมโพสต์ตำหนิโจทก์ว่า โจทก์เป็นถึงประธานคณะกรรมาธิการการกฎหมาย สภาผู้แทนราษฎร แต่กลับไม่มีความรู้ในเรื่องกฎหมายการจัดตั้งโรงพยาบาลสนาม ดังนั้นข้อความทั้งหมดที่จำเลยโพสต์ตามคำฟ้องข้อ ๒.๑ จึงเป็นการชี้แจงประเด็นที่จำเลยถูกกล่าวหาจากโจทก์
ส่วนข้อความที่จำเลยโพสต์ถึงโจทก์โดยใช้คำว่า “ไอ้กุ๊ยหลักสี่” “ไอ้กุ๊ย” หรือ “กุ๊ย” ก็ดี และกรณีจำเลยโพสต์ข้อความตามคำฟ้อง
ข้อ ๒.๒ ว่า “…ไม่ใช่เวลาที่ผมต้องเสียเวลาไปกับการกลั่นแกล้งใช้กฎหมายของคนหิวแสงนะครับ…” ข้อความว่า “…ผมไม่ได้กลัวอำนาจนักการเมืองส้นตีนหิวแสงสร้างภาพหรอกนะครับ…” และข้อความว่า “…สถานการณ์วิกฤตอย่างนี้ยังจะมาก่อกวนผมอีก…เลวฉิบหาย…ออกหมายจับมาเลย…”
และที่จำเลยโพสต์ข้อความตามคำฟ้องข้อ ๒.๓ ว่า “…นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐบาลไม่ได้ให้การสนับสนุนนักการเมืองเลวตนนี้หรอกครับ…”
เมื่อพิจารณาข้อความที่จำเลยโพสต์จะพบว่า จำเลยโพสต์คำว่า “ไอ้เหี้ย’ “ไอ้สัส” “มึง’ อยู่หลายแห่ง โดยจำเลยโพสต์ขอโทษผู้อ่านข้อความในความหยาบคายของตน และโพสต์ว่า ธาตุแท้ของจำเลยเติบโตมาจากดงนักเลง ๒๔๙๙ ย่านหัวลำโพง และเป็นคนประเภท “ตาต่อตา ฟันต่อฟัน”
จากถ้อยคำที่จำเลยโพสต์ดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงบุคลิกภาพของจำเลยว่า เป็นคนตรง ไม่กลัวคน แข็งกร้าว ไม่ยอมคน ถ้อยคำที่จำเลยโพสต์ถึงตัวโจทก์ดังกล่าวข้างต้นแสดงถึงความอัดอั้นของจำเลยที่ถูกโจทก์กระทำ
เมื่อคำนึงถึงบุคลิกภาพของจำเลยประกอบด้วยแล้ว เห็นว่าข้อความที่จำเลยโพสต์ถึงโจทก์ล้วนเป็นเรื่องพฤติกรรมของโจทก์ที่เกี่ยวเนื่องอยู่ในขอบเขตของเรื่องที่จำเลยถูกกระทำดังกล่าวจากโจทก์ เป็นการตอบโต้การกระทำของโจทก์ อันเป็นการแสดงความคิดเห็นโดยสุจริตเพื่อความชอบธรรม ป้องกันตนเอง หรือป้องกันส่วนได้เสียเกี่ยวกับตนตามคลองธรรมตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๒๙(๑)
จำเลยโพสต์ข้อความตามฟ้องข้อ ๒.๑ ถึงข้อ ๒.๓ จึงไม่เป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทโจทก์ เมื่อวินิจฉัยดังนี้แล้วกรณีไม่จำต้องวินิจฉัยอุทธรณ์ข้ออื่นของจำเลยอีกต่อไป
ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยกระทำความผิดฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณาตามฟ้องนั้น ศาลอุทธรณ์ไม่เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของจำเลยฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
พลตรี เหรียญทอง แน่นหนา
จำเลยจากการปกป้อง รพ.สนามในสถานการณ์โควิด-19 เมื่อปี พ.ศ.2564
หมายเหตุ ความฝันอันสูงสุดอยู่ในจิตวิญญาณของผมไม่เคยเสื่อมคลาย
ขอฝันใฝ่ในฝันอันเหลือเชื่อ
ขอสู้ศึกทุกเมื่อไม่หวั่นไหว
ขอทนทุกข์รุกโรมโหมกายใจ
ขอฝ่าฟันผองภัยด้วยใจทะนง
จะแน่วแน่แก้ไขในสิ่งผิด
จะรักชาติจนชีวิตเป็นผุยผง
จะยอมตายหมายให้เกียรติดำรง
จะปิดทองหลังองค์พระปฏิมา
ไม่ท้อถอยคอยสร้างสิ่งที่ควร
ไม่เรรวนพะว้าพะวังคิดกังขา
ไม่เคืองแค้นน้อยใจในโชคชะตา
ไม่เสียดายชีวาถ้าสิ้นไป
นี่คือปณิธานที่หาญมุ่ง
หมายผดุงยุติธรรม์อันสดใส
ถึงทนทุกข์ทรมานนานเท่าใด
ยังมั่นใจรักชาติองอาจครัน
โลกมนุษย์ย่อมจะดีกว่านี้แน่
เพราะมีผู้ไม่ยอมแพ้แม้ถูกหยัน
คงยืนหยัดสู้ไปใฝ่ประจัญ
ยอมอาสัญก็เพราะปองเทิดผองไทย