วันที่ 15ต.ค.66 นายแพทย์วรงค์ เดชกิจวิกรม ประธานพรรคไทยภักดี เผยกับผู้สื่อข่าว ท็อปนิวส์ กรณีที่ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ให้ประชาชนช่วยกันเปล่งเสียงออกมา ว่า ต้องการเงินดิจิทัล 10,000 บาท ว่า คำถามที่นายเศรษฐาพยายามถามประชาชน ว่าต้องการเงินไหม ตนถามตรงๆ ว่าใครไม่ต้องการเงิน ทุกคนต้องการเงิน คนรวยคนจน ต้องการเงินหมด เพียงแต่สิ่งที่เรามองตนอ้างอิงข้อมูลเชิงวิชาการของนักวิชาการว่า มันจะสร้างผลเสียมากกว่าผลดีของประเทศ
“หมอวรงค์” เตรียมยื่นผู้ตรวจการแผ่นดิน ตรวจสอบปมแจกเงินดิจิทัล ซัด “เศรษฐา” ปลุกระดมทำสังคมแตกแยก
ข่าวที่น่าสนใจ
นายเศรษฐา ทำไมไม่บอกประชาชนว่า หากประชาชนทุกคนต้องการเงิน 5 แสน 6 หมื่นล้านบาท ประเทศชาติจะเป็นหนี้ไม่รู้ต้องใช้หนี้อีกกี่สิบปี อาจเกิดเงินเฟ้อ ก๋วยเตี๋ยวจะแพงขึ้นเป็น 2 เท่า และเครดิตเรทติ้งของประเทศอาจจะแย่ลง ดอกเบี้ยอาจจะสูงขึ้น ไม่รู้ใช้หนี้อีกกี่สิบปี อาจเกิดเงินเฟ้อ ก๋วยเตี๋ยวจะแพงขึ้นเป็น 2 เท่า และเครดิตเรทติ้งของประเทศอาจจะแย่ลง ดอกเบี้ยอาจจะสูงขึ้น ปัญหาเหล่านี้คุณเศรษฐาไม่พูดถึงและพูดไม่หมด พูดแต่ต้องการเงินไหม ซึ่งแน่นอนทุกคนก็ต้องการเงิน และประเด็นสำคัญ คือคุณเศรษฐากล่าวกับประชาชนเมื่อวานนี้ (14ต.ค.) ที่จังหวัดพิษณุโลก โดยบอกว่าเราจะปล่อยให้คนไม่มีเหตุผลมายับยั้งโครงการนี้ เหมือนกำลังพูดปลุกระดม ให้ข้อมูลฝ่ายเดียวกับประชาชน ตนเชื่อว่าทุกฝ่ายที่ออกมามีเหตุมีผลเป็นห่วงต่อชาติบ้านเมืองทั้งสิ้น เพราะเงิน 5 แสน 6 หมื่นล้านบาท สร้างผลกระทบใหญ่หลวงกับโครงการอื่นๆ และสิ่งที่คุณเศรษฐาทำดูหมิ่นเหม่ที่จะผิดกฎหมายด้วย
นายแพทย์วรงค์ กล่าวว่า ทำไมรัฐบาลไม่แจกเป็นเงินสด หรือดิจิทัลของแบงก์ชาติที่มีอยู่แล้ว และทำไมถึงแจกเป็นโทเคนและจะเอาเงินมาจากไหน สิ่งเหล่านี้เป็นผลที่เกิดขึ้นจากความไม่ชัดเจนมากกว่า อย่างไรก็ตามการคัดค้าน เราใช้เหตุผลในการคัดค้าน หาก นายเศรษฐา คิดว่า มีผลดีมากกว่าผลเสีย ไม่เห็นมีอะไรต้องน่ากลัว เพราะเราไม่มีอำนาจ แต่พวกคุณมีอำนาจ แต่หากคุณทำไม่ถูกต้อง เช่น มีโอกาสผิดต่อ พ.ร.บ. เงินตราของธนาคารแห่งประเทศไทย มีโอกาสผิดต่อวินัยการเงินการคลัง ตนตั้งใจนำเรื่องนี้ส่งผู้ตรวจการแผ่นดิน และส่งต่อไปยังศาลปกครอง เพื่อมีคำวินิจฉัย ซึ่งล่าสุดทีมกฎหมายร่างคำร้องเสร็จเรียบร้อย คาดใช้เวลาตรวจทาน 1-2 วัน เพื่อยื่นต่อผู้ตรวจการแผ่นดินภายในวันพุธ ที่ 18 ตค. นี้ ผู้สื่อข่าวถามต่อกรณีที่มีนักวิชาการออกมาเตือนเรื่องการแจกเงินดิจิทัล นายเศรษฐา ระบุว่ารับฟัง แต่ก็ยืนยันจะเดินหน้าต่อ นายแพทย์วรงค์ กล่าวว่า ตนไม่รู้ว่า นายเศรษฐา รับฟังจริงหรือไม่ เนื่องจากสิ่งที่เขาพยายามปลุกระดมประชาชน เหมือนว่าไม่สนใจอะไรจะเกิดขึ้น จะเดินหน้าอย่างเดียว ตนมองว่าไม่แตกต่างจากโครงการรับจำนำข้าว สมัยรัฐบาล นางสาว ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และนักโทษหนีคดี ที่มีหลายฝ่ายออกมาทักท้วงเช่นเดียวกัน กรณีที่ นางสาวยิ่งลักษณ์ ต้องการช่วยชาวนา ซึ่งการแจกเงินใครๆก็เอา แต่หากรับฟังจริง ต้องบวกลบคูณหารให้รอบคอบ สิ่งไหนต้องปรับ สิ่งใดที่เป็นข้อสงสัยก็ต้องตอบ
นายแพทย์วรงค์ กล่าวว่า หากแน่จริงลองกลับไปถามประชาชนว่า ระหว่างเงินสดกับโทเคน จะเลือกอันไหน ซึ่งชาวบ้านต้องการเงินสด หรือโอนเข้าบัญชีทุกคนไม่ต้องการโทเคน ดังนั้น จุดนี้เป็นข้อสงสัย เพราะตนเชื่อว่าโทเคนจะมีผลประโยชน์ทับซ้อน และนำไปสู่การโกงกระจายทั้งแผ่นดิน เนื่องจากประชาชนใช้โทเคนไม่เป็น เขาต้องการเงินสด เนื่องจากใช้คล่องมือกว่า ฉะนั้นเมื่อเป็นโทเคนจึงเกิดช่องว่าง นำไปสู่การทุจริต ดังนั้นการทำเป็นดิจิตอลโทเคนแฝงนัยยะการทุจริตหรือไม่ ซึ่งยุ่งยากประชาชนไม่เข้าใจ สังเกตได้จากแอปเป๋าตังค์ มีประชาชนจำนวนไม่น้อยที่ใช้ไม่เป็น สุดท้ายขอรับเป็นเงินสด และถูกหักหัวคิว และวันนี้โทเคนถูกกำหนดด้วยเงื่อนไขต่าง จะเกิดกระบวนการ รับ ตั้งโต๊ะ แลกซื้อโทเคนจากชาวบ้าน ดังนั้นหากนายเศรษฐาต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจจริง มีวิธีการอื่นอีกมากมาย ซึ่งอาจจะใช้ดิจิตอลบาท ของแบงก์ชาติเลยจะเข้าเงื่อนไขทุกอย่างตามที่พวกคุณต้องการ ขณะเดียวกัน หากเป็นโทเคน ตนเป็นห่วงเรื่องการซื้อสิทธิ์ – สวมสิทธิ์ “เราปราบโกงมาเยอะแล้ว และพรรคนี้ทำอะไรก็ชอบมีนัยยะแอบแฝงอยู่เรื่อย ตั้งแต่โครงการรับจำนำข้าว ก็ซื้อสิทธิ์ใบประทวน สวมสิทธิ์ใบประทวน เดี๋ยวจะเจอซื้อสิทธิ์โทเคน สวมสิทธิ์โทเคน นี่คือสิ่งที่เราห่วงใย” นายแพทย์วรงค์ กล่าว
เมื่อถามว่า 560,000 ล้านบาท จะกระทบกับฐานะการเงินการคลังของประเทศหรือไม่ นายแพทย์วรงค์ กล่าวว่า 560,000 ล้านบาท เป็นเงินก้อนใหญ่มหาศาล มีผลต่อการลงทุน ซึ่งนักวิชาการพูดไว้ชัดเจน เงินจำนวนดังกล่าว สร้างสนามบิน รถไฟฟ้า รถไฟความเร็วสูง ซึ่งเป็นสิ่งที่นักวิชาการต้องการให้เกิดการลงทุน และเกิดการจ้างงาน และได้สิ่งของขึ้นมา ดังนั้นนอกจากทำให้เสียโอกาสในการลงทุน ประเทศไทยไม่มีเงินสด รัฐบาลต้องไปกู้ มันคือเครดิตเรทติ้ง ซึ่งเพิ่มหนี้สาธารณะและเป็นภาระที่ลูกหลานต้องมาชดใช้ และตนเชื่อว่า 560,000 ล้านบาท เมื่อเทลงไป ทำให้ข้าวของแพงขึ้นอย่างแน่นอน และจะเป็นผลกระทบตามมา และจะสร้างปัญญาระยะยาว นายแพทย์วรงค์ กล่าวย้ำว่า นายเศรษฐาหากมีข้อมูลที่แม่นจริงๆ ในการต่อสู้ทางความคิดเรื่องพวกนี้อย่าปลุกระดมประชาเลย อายเค้า ที่ไปบอกว่า มีคนไม่หวังดี ไม่มีเหตุผลมายับยั้งโครงการ เพราะไม่มีใครยับยั้งโครงการคุณได้ มีแต่พวกคุณที่ทำไม่ถูกต้อง ทำผิดกฎหมาย ถึงจะถูกระงับยังยั้งขึ้นมา หากนายเศรษฐา ปรับในสิ่งที่นักวิชาการเสนอสังคมอาจจะรับได้ แต่วันนี้ดูท่าทาง คุณจะเดินหน้า เมื่อเดินหน้า ก็ต้องไปเจอกันที่ศาล คุณเป็นห่วงประเทศ พวกเราก็เป็นห่วงประเทศ หากทำแล้วได้ผลดีมากกว่า อีกฝ่ายเป็นนักวิชาการไม่มีส่วนได้เสีย ที่เขามองว่าผลเสียมากกว่าเมื่อเห็นไม่ตรงกันก็ไปเจอกันที่ศาล และคุณต้องเคารพศาล ไม่ใช่ปลุกระดมประชาชน สร้างความแตกแยก ยิ่งเป็นรัฐบาลอย่าสร้างความแตกแยก แต่วันนี้คุณเก็บอารมณ์ไม่อยู่ ว่าจะมีคนมายับยั้งโครงการ ฉะนั้น นิ่งๆ มีสติ มีสมาชิกให้ดี หาเหตุผลมาอธิบาย สังคมจะเดินหน้าต่อไปได้ด้วยเหตุและผล
ข่าวที่เกี่ยวข้อง