หลังจากชักกะเย่อเก้าอี้ประธานรัฐสภากันอยู่นานระหว่างก้าวไกลที่ต้องการเสนอ “หมออ๋อง” ปดิพัทธ์ สันติภาดา ส.ส.พิษณุโลก ขึ้นเป็นประมุขฝ่ายนิติบัญญัติ กับ เพื่อไทยที่มีข่าวว่าวางตัว “พ่อมดดำ” สุชาติ ตันเจริญ อดีตรองประธานสภาหลายสมัยขึ้นเป็นประธาน สองฝ่ายส้ม-แดงไม่ยอมลดราวาศอกในการช่วงชิงตำแหน่งสำคัญที่เป็นบันไดขั้นแรกในการก้าวสู่อำนาจของตัวเอง แม้จะใกล้วันโหวตประธานสภาเข้ามาทุกที่ แต่สองฝ่ายก็ยังไม่ยอมถอยจากหมุดหมายของตัวเอง จนมาถึงวันอาทิตย์ที่ 2 ก.ค.2566 ที่ผ่านมา ดูเหมือนจะเป็นวันที่ได้ข้อยุติหลังเพื่อไทยชิงจังหวะนำเสนอ “ข้อเสนอที่ไม่อาจปฏิเสธ” ได้ไปให้กับก้าวไกล ด้วยการเสนอชื่อคนกลางอย่างวันมูหะมัด นอร์มะทา หัวหน้าพรรคประชาชาติ อดีตประธานสภาคนที่ 20 สมัย”บิ๊กจิ๋ว” พล.อ.ชวลิตทำหน้าที่ ยุติความขัดแย้งสองพรรค พร้อมเดินหน้าเลือกนายกฯตั้งรัฐบาลต่อไป
ดูตามทรงนี้หลายคนอาจคิดว่าสองฝ่ายวินๆ เพราะต่างก็ได้คนกลางต่างพรรคมาเป็นประธานสภา ส้ม-แดงไม่มีใครได้เปรียบเสียเปรียบ แต่ความจริงมองให้ลึกดูให้ชัดลงไปชิงดำประธานสภารอบนี้ เพื่อไทยกินรวบไปแบบชิลด์ๆเลยก็ว่าได้ เพราะการเสนอชื่อวันนอร์เป็นประธานก็มาจากข้อเสนอและไอเดียของฝั่งเพื่อไทย อย่าลืมว่าวันนอร์แม้จะเป็นหัวหน้าพรรคประชาชาติ แต่เนื้อแท้ข้างในคือคนเพื่อไทยคือเครือข่ายทักษิณขนานแท้ ย้อนอดีตกลับไป ปัจจุบันวันนอร์อายุ 79 ปี เป็นส.ส.มาแล้ว 9-10 สมัย แจ้งเกิดเคยเป็นประธานสภาสมัยบิ๊กจิ๊วเป็นนายกฯ แต่มารุ่งเรืองสุดๆ ตอนอยู่ไทยรักไทยสมัยทักษิณ เพราะถูกโทนี่ประเคนเก้าอี้ดีๆ ตำแหน่งเด่นๆ ให้ทั้งหมด อาทิ รมว.คมนาคม มท.1 รองนายกฯ รมว.เกษตรฯ ฯลฯ จึงไม่แปลกที่ทักษิณกับวันนอร์จะมีบุญคุณผุกพันกันมาช้านาน และเหตุที่วันนอร์เดินจากพรรคแดงออกไปก็ไม่ใช่เพราะอะไร แต่เป็นเหตุผลที่คนมุสลิมใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ไม่เลือกทักษิณไม่เอาพรรคตระกูลชิน เพราะฝังใจเหตุการปราบปรามที่กรือเซะ กรณีสลายการชุมนุมที่ตากใบ นโยบายกวาดล้างยาเสพติด 2500 ศพ สารพัดเรื่องที่ทำในยุคทักษิณ ฯลฯ ทำให้เพื่อไทยถูกต้านขายไม่ออกใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ ทำให้วันนอร์ต้องแยกพรรคออกมาตั้งแบรนด์ใหม่อย่าง “ประชาชาติ” หาเสียงกับพี่น้องมุสลิมในพื้นที่ 3 จังหวัดใต้แทน
ไม่แปลกที่การตั้งวันนอร์จะทำให้หลายคนมองว่าก้าวไกลหลงเหลี่ยมเพื่อไทยแล้ว และแพ้ยกแรกในการเลือกประธานสภาให้กับฝ่ายแดง แม้พิธาจะออกมาบอกว่าตั้งวันนอร์ไม่กลัวว่าจะเป็นนอมินีเพื่อไทยร่างทรงฝ่ายทักษิณ เพราะรู้จักขรัวเฒ่าอย่างวันนอร์ดีว่าเป็นอย่างไร และมั่นใจเพราะ 1. เป็นคนมีเหตุผล และ 2. ยืนเคียงข้างความถูกต้องเสมอ เป็นผู้ใหญ่ที่มีความเป็นกลางและมีบารมี แต่ความจริงกว่าจะตกลงกันได้จริงๆ พิธาต้องส่งชัยธวัชไปคุยกับวันนอร์ที่บ้านช่วงเย็นวันอาทิตย์ที่ 2 ก.ค.2566 ตั้งแต่เย็นจนถึงเกือบเที่ยงคืนเพื่อให้วันนอร์เข้าใจทุกเรื่องแบบสะเด็ดน้ำ ว่าจะเดินตามหลักตามธงของก้าวไกลยังไง เรื่องใหญ่ๆ ที่ต้องเคลียร์ให้ชัดหนึ่งคือการโหวตนายกฯ สองก็คือเรื่องการเสนอกฎหมายสำคัญๆในอนาคต จนนำมาสู่การไฟเขียวให้ก้าวไกลถอยมาครึ่งก้าว เพื่อเปิดทางให้วันนอร์เป็นประธานสภาเดินหน้ารัฐบาลต่อไป แต่เพื่อไทยก็ต้องยอมลงนาม เอ็มโอยูระหว่าง 2 พรรคเพื่อให้วันนอร์กับเพื่อไทยยืนยันในหลักการว่า 1. ต้องเสนอพิธาเป็นนายกฯจนสุดความสามารถที่จะทำได้ 2.ผลักดันกฎหมายสำคัญๆ ที่เป็น “ธง” ของฝ่ายส้มในสภาโดยไม่มีเงื่อนไข อาทิ การนิรโทษกรรมคดีแสดงออกทางการเมือง การแก้ไขกฎหมายเกี่ยวกับการปฏิรูปกองทัพ ได้แก่ 1.ร่างพระราชบัญญัติจัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม 2.ร่างพระราชบัญญัติกฎอัยการศึก และ 3. ร่างพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร เรียกว่ามัดมือวันนอร์กับเพื่อไทยไว้ก่อนว่าต้องเดิมตามเกมนี้ของก้าวไกล
หลังเพื่อไทยโอเคก้าวไกลจึงยอมปล่อยเก้าอี้ประธานสภาให้วันนอร์ไปครอง ขณะที่ฝ่ายเพื่อไทยมีข่าวว่าเจ้าของพรรคคนแดนไกลที่อยู่ดูไบถึงกับโทรหาสุชาติ ตันเจริญ เองเบรกให้ถอนตัวอย่ารับตำแหน่งประธานสภาไม่ว่าด้วยวิธีใด เรียกว่ายื่นหมูยื่นแมวกัน ตรงนี้น่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดของก้าวไกลกับเพื่อไทย แม้ก้าวไกลจะถูกมองว่าขาดทุนและเพื่อไทยได้กำไรอยู่ฝ่ายเดียว แต่ก้าวไกลก็ต้องก้มหน้าก้มตารับสภาพไปตามนั้น เพราะต่อให้แข่งกันหรือฟรีโหวตประธานสภา ก้าวไกลก็แพ้เพื่อไทยอยู่ดี ออกทางนี้น่าจะดีกว่าเป้าหมายเดินหน้ารัฐบาลด้วยกันก็ไม่เสียหาย แถมยังสามารถแลกมาด้วยการเสนอแก้ไขกฎหมายสำคัญๆ อย่างที่ว่าลงนามให้เพื่อไทยรับปากว่าจะช่วยกันผลักดันต่อไปให้สำเร็จ เรียกว่า “กำขี้ดีกว่ากำตด” อนาคตก็ค่อยไปแก้ความเจ้าเล่ห์เพทุบายหน้างานของเพื่อไทยเป็นเรื่องๆไป แต่ตอนนี้ก็ต้องจำยอมให้ออกหน้านี้ไปก่อนไม่งั้นพังกันหมดทั้งยวงจากนี้เมื่อมีวันนอร์เป็นประธานสภาแล้ว งานใหญ่งานช้างต่อไปก็ต้องจับตาการโหวตเลือกนายกฯ สงครามชิงเหลี่ยมชิงดำรอบใหม่ระหว่างก้าวไกลกับเพื่อไทย จากนี้ต้องรอ 15 วันในการทูลเกล้าฯชื่อ ประธานสภากับรองประธานสภา โปรดเกล้าฯลงมาเมื่อไหร่ก็นับหนึ่งกำหนดวันโหวตเลือกนายกฯได้เลย ที่งานนี้วันนอร์หนักแน่ในการทำหน้าที่ประธานสภา เพราะคงฟัดกันหนักอัดกันแหลกในการอำนาจสุดสำคัญเที่ยวนี้
แปลกแต่จริงชิงนายกฯรอบนี้ บนเวทีมี 3 มุม มุมส้ม มุมแดง มุมนำเงิน ก็ต้องดูว่าถึงวันโหวตจริงๆพิธาจะหาเสียง 376 จากส.ส.กับส.ว.มาได้อย่างไร แม้ล่าสุดเจ้าตัวจะมั่นใจว่าได้เสียงส.ว.เพิ่มขึ้น ทั้งๆที่ไม่เคยไปคุยกับสภาสูง ไม่เคยส่งคนไปทำความเข้าใจกับส.ว.เลย แต่ดันมั่นใจทิพย์ว่าจะได้เสียงถึงโหวตได้เป็นนายกฯ ขณะที่ฝ่ายแดงก็รอจังหวะสอง เล่นตามบทไปแบบเนียนๆ พิธาไม่ผ่านโหวตตกม้าตายไม่ได้นายกฯเมื่อไหร่ แคนดิเดตนายกฯฝ่ายโทนี่ ไม่ว่าจะเป็น “เสี่ยนิด” เศรษฐา หรือหมวยเล็ก “อุ๊งอิ๊ง” แพทองธารก็พร้อมเสียบในทันที แต่เพื่อไทยก็จะติดกับดัก 376 คนอยู่ดี ยังไงก็ต้องดึงพลังประชารัฐของ “ลุงป้อม” พล.อ.ประวิตร ไปช่วยเพราะจะได้ของแถมเป็นส.ว.250 คน ถึงตอนนั้นก็คงต้องฉีกสัตรยาบัน 8 พรรค 312 คน เพราะต้องมีการ “ย้ายขั้ว -สลับข้าง” เกิดขึ้นไม่งั้นไปไม่ถึง 376 แน่นอน เก้าอี้สร.1 ก็คงเหลือแค่ “เสี่ยนิด-อุ๊งอิ๊ง-ลุงป้อม” ตามลุ้นกันยาวๆว่าหวยจะไปออกที่ใคร ตาอิน ตานา หรือ ตาอยู่ แต่ที่แน่ๆตาทิมพิธาหมดสิทธิ์เป็นนายกฯแน่นอน คดียาวเป็นหางว่าว เสียงไม่ถึง บารมีไม่พอ ไม่มีเพื่อนไม่มีฝูง อยู่อย่างเหงาๆเป็นนายกฯในโลกโซเชี่ยลต่อไป นายกฯโลกจริงคนอื่นคงได้ไปครอง วงในการเมืองมองว่าตั้งวันนอร์เป็นประธานสภาเที่ยวนี้ เพื่อไทยกินรวบ ส่วนพิธาน่าจะจบเห่ เพราะอนาคตไม่มีประธานฝ่ายส้มของตัวเองคอยผลักดันเรื่องให้ จะไปหวังวันนอร์เสี่ยงเสนอชื่อพิธาเป็นนายกฯ ถ้ายังมีคดีมัวหมองแบบนี้ ไม่มีทางที่วันนอร์จะกล้าทำ ลำพังแค่ตอนโหวตก็ยังไม่ผ่าน หมดหนทางที่ชื่อพิธาจะไปถึงขั้นตอนนำชื่อขึ้นทูลเกล้าฯได้เลย เผลอๆทางกกต.ส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาได้เร็ว คำสั่งบางอยาางของศาลอาจเบรกความฝันของพิธาไปเลยก็ได้ ไม่ต้องไปถึงขั้นรอให้สภาโหวต อุปสรรคก็มาก หนทางก็ยากลำบากจริงๆ โลกกว้างทางแคบแท้ๆหนอสำหรับ พณฯท่านทิมพิธา นายกฯด้อมส้มแห่งโลกโซเชี่ยลฯ
/////////////////
