จำคุกตลอดชีวิต 3 หนุ่มใหญ่ แดนใต้ บุกกรุงฯตระเวนวางบึ้มปี 62

จำคุกตลอดชีวิต 3 หนุ่มใหญ่ แดนใต้ บุกกรุงฯตระเวนวางบึ้มปี 62

3 ก.ค.2566 เมื่อเวลา 13.30 น. ที่ห้องพิจารณาคดี 814 ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลนัดฟังคำพิพากษาคดีลอบวางระเบิดคดีดำอ.2913/2562 ที่พนักงานอัยการคดีอาญา 6 เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายลูไอ แซแง อายุ 27 ปี นายวิลดัน มะหา อายุ 33 ปี และนายมูฮัมหมัดอิลฮัม หรือแบลี สะอิ อายุ 31 ปี เป็นจำเลยที่ 1-3 ตามลำดับ ในความผิดฐาน ร่วมกันก่อการร้ายฯอั้งยี่ซ่องโจร, ร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่น ,ร่วมกันกระทำให้เกิดระเบิดจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่บุคคลได้รับบาดเจ็บสาหัส ทรัพย์สินผู้อื่นหรือโรงเรือน ร่วมกันทำไว้ มีไว้ ซึ่งวัตถุระเบิด ที่นายทะเบียนไม่สามารถออกใบอนุญาตให้ไว้ในครอบครองได้ฯ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 32,33,80,83,91,135/1,209,210,221,222,224,288,289, 371และฯ

 

 

 

โดยอัยการโจทก์ระบุฟ้องความผิดสรุปว่า เมื่อระหว่างวันที่ 13 ก.ค. 2562 ถึง 2 ส.ค.2562 ต่อเนื่องกันจำเลยกับพวกอีก18 คนที่ยังไม่ได้ตัวมาฟ้องได้ร่วมกัน แยกย้าย แบ่งหน้าที่กันทำนำวัตถุระเบิดชนิดแสวงเครื่องที่ผลิตขึ้นเองใส่ไว้ในภาชนะกระป๋องมันฝรั่ง กล่องผลไม้มีโลหะลูกปราย หรือลูกเหล็กกลมทำเป็นสะเก็ดระเบิดไปวางไว้ตามสถานที่ราชการ อาทิ หน้าป้ายสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ริมทางเดินเท้า ถนนพระรามที่ 1 ,หน้าสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี และนำไปที่บริเวณหน้าอาคารบี รัฐประศาสนภักดี และบริเวณหน้ารั้ว อาคารกองบัญชาการกองทัพไทย ภายในศูนย์ราชการ ถ.แจ้งวัฒนะ กทม.

ต่อมาวันที่ 13 ส.ค.2562 เจ้าพนักงานติดตามจำกุมตัวจำเลยที่1-2ได้ พร้อมยึดของกลาง 39 รายการ ส่วนจำเลยที่3 ถูกจับกุมตัวได้วันที่ 2 ก.ย.2562 เหตุเกิดแขวงหัวหมาก เขตบางกะปิ และที่อื่นเกี่ยวพันกัน จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ และถูกคุมขังที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ

ข่าวที่น่าสนใจ

โดยวันนี้ (3 ก.ค.) ศาลให้เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์เบิกตัวจำเลยที่ 1-3 มาฟังคำพิพากษา ขณะที่ทนายความและญาติจำเลยประมาณ 20 คน เดินทางมาศาล

ศาลพิเคราะห์คำเบิกความและพยานหลักฐานต่าง ๆ แล้ว ในส่วนของจำเลยที่1-2 รับฟังได้ว่า จำเลยทั้งสองได้เคยเดินทางไปประเทศมาเลเซียเพื่อประชุมและวางแผนกับจำเลยที่ 3 และพวก ถึงขั้นตอนตระเตรียมการต่างๆ โดยก่อนเกิดเหตุจำเลยที่ 3 ขับรถมาดูลาดที่หน้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ส่วนจำเลยที่ 1-2 เดินทางมาที่หน้าป้ายสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และจำเลยที่ 1 ได้นำระเบิดแสดงเครื่องบรรจุในกระป๋องมันฝรั่ง และกล่องน้ำผลไม้ จำเลย 2 ชุดมาวางบริเวณดังกล่าว โดยมีจำเลยที่ 2 คอยดูอยู่ห่างๆ ระหว่างนั้นมีแม่ค้ารถเข็นขายไส้กรอกผ่านมา เห็นผิดสังเกตจึงแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจที่รักษาการณ์อยู่หน้าประตูทางเข้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จากนั้นจึงแจ้งผู้บังคับบัญชาให้ทราบ และประสานหน่วยเก็บกู้วัตถุระเบิด (อีโอดี) มาเก็บกู้วัตุระเบิดได้ทัน ส่วนจำเลยที่ 1 และ 2 เมื่อก่อเหตุแล้วพากันเดินไปยังห้องน้ำชั้น G ห้างสยามพารากอน แล้วเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ แล้วจึงขึ้นรถแท็กซี่ไปยังสถานีขนส่งหมอชิตใหม่เพื่อซื้อตั๋วรถทัวร์ ไปยังอ.หาดใหญ่ จ.สงขลาเพื่อหลบหนี ซึ่งคำเบิกความของแม่ค้ารถเข็นขายไส้กรอก และพนักงานขายตั๋วรถทัวร์สามารถจดจำใบหน้าคนร้ายได้ ประกอบกับภาพจากกล้องวงจรปิดเป็นพยานหลักฐานสำคัญ ที่บันทึกภาพเคลื่อนไหวและใบหน้าจำเลยทั้งสองได้

พิพากษาว่า จำเลยที่ 1-2 มีความผิดฐานร่วมกันก่อการร้าย พยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน อั้งยี่ซ่องโจร และร่วมกันใช้วัตถุระเบิดที่นายทะเบียนไม่สามารถออกใบอนุญาตให้ได้ ซึ่งเป็นบทหนักสุด พิพากษาจำคุกจำเลยที่ 1-2 ตลอดชีวิต คำให้การในชั้นซักถามของเจ้าพนักงาน อำนาจตามพ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) พ.ศ.2548 เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุก จำเลยที่ 1-2 คนละ 39 ปี 16 เดือน

 

ส่วนจำเลยที่ 3 รับฟังข้อเท็จจริงได้ว่า ร่วมเป็นตัวการในการกระทำผิดโดยร่วมประชุมวางแผนกับจำเลยที่ 1-2 และพวก ที่ประเทศมาเลเซียและจัดหาวัตถุระเบิดแสดงเครื่องให้จำเลยที่ 1-2 เพื่อก่อเหตุวางระเบิด นอกจากนี้จำเลยที่ 3 ยังลักลอบนำระเบิดแสวงเครื่องไปวางไว้บริเวณหน้าอาคารมหานครและสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส ช่องนนทรี จนเกิดเหตุระเบิดมีผู้บาดเจ็บจำนวน 2 ราย นอกจากนี้จำเลยที่ 3 ยังมีส่วนร่วมในเหตุการณ์ลอบวางระเบิด ที่หน้าสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม, หน้ารั้ว กองบัญชาการกองทัพไทย , อาคารบี ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ พิพากษาความ จำเลยที่ 3 มีความผิดฐานร่วมกันก่อการร้าย พยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน อั้งยี่ซ่องโจร และร่วมกันใช้วัตถุระเบิดที่นายทะเบียนไม่สามารถออกใบอนุญาตให้ได้

พิพากษาจำคุกจำเลยที่ 3 รวม 164 ปี 72 เดือน 240 วัน แต่ความผิดกระทงที่หนักที่สุดมีอัตราโทษจำคุกอย่างสูงเกิน 10 ปี ขึ้นไป แต่เมื่อรวมโทษทุกกระทงแล้ว โทษจำคุกทั้งสิ้นต้องไม่เกิน 50 ปี ดังนั้นให้จำคุกจำเลยที่ 3 เป็นเวลา 50 ปี ริบของกลาง

 

 

ภายหลังนายกิจจา อาลีอิสเฮาะ ทีมทนายความจำเลย เปิดเผยว่า ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุกจำเลยทั้งสามคน แต่ก็ถือว่าเป็นโทษที่ไม่สูงมากจนเกินไป สำหรับหรับคดีเกี่ยวกับความมั่นคง ซึ่งทนายเราได้ต่อสู้ว่าบุคคลตามภาพถ่ายและภาพเคลื่อนไหวกล้องวงจรปิด ไม่ใช่จำเลยในคดีนี้ แต่ศาลไม่ได้รับฟัง หลังจากนี้ก็จะศึกษาคำวินิจฉัยของศาลเพื่ออุทธรณ์คดีต่อไป

 

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ข่าวล่าสุด

"สันติสุข" เทียบเจ็บ "ฮุน เซน" เหมือนคนคลั่งยา จับสมาชิกครอบครัวเป็นตัวประกัน ปลุกระดมทะเลาะไทย พาคนในชาติเดือดร้อนทั่วหน้า
วธ.เตรียมจัดใหญ่งานมหกรรมวัฒนธรรมแห่งชาติ วิถีถิ่น วิถีไทย กลางใจกรุงเทพฯ มางานเดียวเหมือนได้เที่ยวทั่วไทย
เพื่อไทยกร้าวสุด "สส.อีสาน" เล่นใหญ่ เสนอกลางวงประชุมพรรค ลั่นถึงเวลาทวง "มหาดไทย" คืน
กลาโหมกัมพูชากล่าวหาไทยละเมิด MOU 2543
สถานทูตในอิหร่านเตือนคนไทยออกจากเตหะราน
ครม. เห็นชอบแต่งตั้ง "เกษร" เป็นผู้อำนวยการสำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย
อิสราเอลขู่คาเมเนอีระวังมีชะตากรรมเหมือนซัดดัม
ศน. ประกาศผลประกวดบรรยายธรรมระดับประเทศ 24 เยาวชนคนเก่ง รับโล่พระราชทาน "กรมสมเด็จพระเทพฯ"
“ไพบูลย์” ย้ำพปชร.ไม่ร่วมรัฐบาล “นายกฯอิ๊งค์” หาก “ภูมิใจไทย” ถอนตัวจากพรรคร่วม
สร.รฟท. ลงพื้นที่อีสาน ให้กำลังใจทหาร "ตาเมือนธม" คารวะทำหน้าที่ ปกป้องอธิปไตยแผ่นดิน

ดู LIVE รายการ

X

เราใช้ คุ้กกี้ เพื่อให้ทุกคนได้ประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น