ย้อนไทม์ไลน์กลับไปก่อนหน้านี้ ประเด็นเรื่อง “นายกฯสำรอง” หรือ “นายกฯคนนอก” ในยุค “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ ตลอดหลายปีที่ผ่านมาแทบไม่มีการถูกพูดถึง เพราะรัฐบาลเรือแป๊ะของบิ๊กตู่เหนียวแน่นเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอำนาจที่อยู่ในมือของ 3 ป. แห่งบูรพาพยัคฆ์ ที่ประกอบด้วบพล.อ.ประยุทธ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ และ “บิ๊กป็อก” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย แม้จะมีเรื่องระหองระแหงเกิดขึ้นมาบ้างแต่ก็เคลียร์กันจบคุยกันได้หมด เพราะฉะนั้นจึงไม่มีเหตุไม่มีประเด็นอะไรจะมาล้มพล.อ.ประยุทธ์ให้หลุดพ้นตำแหน่งก่อนครบเทอม
แต่การเมืองกี่ยุคกี่สมัยไม่มีอะไรแน่นอน 3 ป.ที่ว่ารักกันเหนียวแน่นก็ยังจืดจางห่างเหิรกัน ที่สำคัญหลังเข้าสู่ปีที่ 7 ที่เรียกว่าเป็นช่วงโค้งสุดท้ายของพล.อ.ประยุทธ์ ดูเหมือนอะไรๆก็ขาลง อะไรก็ดูยากไปหมด คนที่มารักก็ตีจาก อำนาจที่เคยมากล้นก็ค่อยๆหด พล.อ.ประยุทธ์ น่าจะเข้าใจสัจธรรมนี้เป็นอย่างดี ไม่แปลกที่ปีนี้จะเป็นปีที่นายกฯเจอมรสุมมากสุด และมีโอกาสที่จะ “หลุด” พ้นตำแหน่งสร.1 ได้มากที่สุดนับตั้งแต่ก้าวขึ้นมาควบคุมอำนาจบริหารประเทศหลังตัดสินใจปฏิวัติรัฐประหารเมื่อ 22 พ.ค.2557 ด้วยเหตุผลที่เกิดปัญหาภายในรัฐบาลเอง โดยเฉพาะการเกิดกบฎการเมืองภายในพรรคพลังประชารัฐที่เป็นพรรคแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ภายใต้การนำของ “ผู้กองนัส” ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า อดีตเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ ที่วางตัวเป็นหอกข้างแคร่นายกฯมาตลอด ก่อนแตกหักหลังเกิดเหตุคิดล้มนายกฯกลางศึกซักฟอก 31 ส.ค. – 4 ก.ย.2564 ระหว่างการอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกฯและรัฐมนตรีคราวที่แล้ว
จากนั้นก็มีปัญหาคาราคาซังเรื่อยมาหลายเรื่องหลายกรณี ที่สุดก็นำไปสู่การขับร.อ.ธรรมนัสกับก๊วนรวม 21 คนพ้นจากพรรคพลังประชารัฐ จนมีการไปตั้งพรรคการเมืองใหม่ที่ชื่อ “พรรคเศรษฐกิจไทย” แถมยังส่งผลให้เสียงของรัฐบาลที่เคยมี 267 เสียง ลดลงไปเหลือ 246 เสียง และกลายเป็นรัฐบาลเสียงปริ่มน้ำ เพราะมีเสียงเกินกึ่งหนึ่งของสภาผู้แทนราษฎร ที่ปัจจุบันมีส.ส.476 คน เกินกึ่งหนึ่งคือ 238 เสียง ไปแค่ 8 เสียงเท่านั้น แม้ก๊วนร.อ.ธรรมนัส 3 คนจะไปซบพรรคภูมิใจไทยแต่ก็ทำให้เสียงรัฐบาลเกินกึ่งหนึ่งมาแค่ 11 เสียง เพราะฉะนั้นนายกฯจึงมีเสียงในมือตอนนี้แค่ 249 เสียงเท่านั้น หากไม่นับรวมพรรคเศรษฐกิจไทย
นอกเหนือจากเรื่องเสียงและมือของรัฐบาลที่มีน้อยลงไปมากโขในปีนี้แล้ว เวลานี้นายกฯกับพี่ใหญ่ป้อมก็อยู่ในช่วง “ง่อนแง่น” เต็มทน หลังจากที่เจอมรสุมยุยงปลุกปั่นให้แตกคอขบเหลี่ยมกันมาตลอด ทั้งจากคนใกล้และคนไกล คนในและคนนอก เพราะเหตุปัจจัยต่างๆทำให้ฝ่ายค้านฝ่ายตรงข้ามสบช่องที่จะล้มพล.อ.ประยุทธ์ ได้ไม่ยาก เนื่องจากปัจจัยภายในก็เอื้ออำนวย อาทิ เสียงส.ส.มีน้อย มีปัญหาคาใจกับพล.อ.ประวิตร ปัจจัยภายนอกก็โหมรุกเร้า ทั้งสงครามรัสเซีย-ยูเครน น้ำมันขึ้น ข้าวของแพง เงินเฟ้อ โควิด -19 ระบาด ฯลฯ ด้วยเหตุที่พล.อ.ประยุทธ์กำลังเจอมรสุมหลายทาง แถมรัฐบาลยังอยู่ในช่วงขาลง ฝ่ายค้านจึงสบช่องเตรียมยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล ตามรัฐธรรมนูญ ม.151 งานนี้หลังเปิดสภา 22 พ.ค.นี้ เตรียมจัดแน่เล็งไว้หลังอภิปรายพ.ร.บ.งบประมาณ 2566 จบ รวมทั้งรอให้แก้กฎหมายลูก 2 ฉบับ เรื่องบัตรเลือกตั้ง 2 ใบ คิดคะแนนบัญชีรายชื่อให้แล้วเสร็จตามเป้าหมายของตัวเองก่อน จากนั้นถึงค่อยยื่นซักฟอก หากไม่เสร็จแล้วนายกฯตกม้าตายกลางสภา เลือกตั้งจะมีปัญหาเพราะกฎหมายลูกไม่เสร็จไม่มีกติกาเลือกตั้ง
อย่างไรก็ตามดูจากท่าที นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ออกมาตีปี๊บมีข้อมูลเด็ด 6 เรื่องล้มนายกฯได้ แถมสำทับว่ามีส.ส.พรรคเล็กกับส.ส.ซีกรัฐบาลหลายคน อาจเปลี่ยนใจมายกมือให้ฝ่ายค้านหากได้ฟังข้อมูลในมือก่อน ตรงนี้ก็สอดคล้องกับกระแสข่าวมีการเตรียม “กล้วย” แจกให้กับส.ส.ราว 30 คน สลับขั้วย้ายข้างไปยกมือให้ฝ่ายค้านในศึกซักฟอก งานนี้ยิ่งทำให้กระแสล้มนายกฯมีความเป็นไปได้มากยิ่งขึ้น ยิ่งไปกว่านั้นในช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมาพล.อ.ประวิตรไปต่างประเทศก็มีการปั่นข่าวว่าไปเจอนายใหญ่คนแดนไกลอย่างทักษิณ ชินวัตร ด้วยเหตุนี้จึงมีการจับโยงไปให้มั่วกันหมด แม้ล่าสุดทั้งคู่จะออกมาบอกว่าไม่มีอะไรในก่อไผ่ไม่ได้ไปเจอกัน พล.อ.ประวิตรไปอังกฤษ-สวิสเซอร์แลนด์ ส่วนทักษิณอยู่ดูไบกับลูกๆหลานๆ
ความจริงกระแสนายกฯสำรอง รวมทั้ง นายกฯคนนอก น่าจะจบไปแล้ว แต่ก็เป็นพล.อ.ประวิตรเองนั้นแหละที่ดัน ” ลั่น” ออกมาตอบคำถามนักข่าวแบบเมาหมัดก่อนการกระชุมครม. 26 เม.ย.ที่ผ่านมา ยอมรับว่าพรรคพลังประชารัฐอาจมีการเสนอชื่อนายกฯสำรอง เตรียมการณ์รองรับไว้หากพล.อ.ประยุทธ์เกิดอุบัติเหตุไม่ได้ไปต่อจากการตีความนับอายุการทำงานของนายกฯต้องไม่เกิน 8 ปี ตามรัฐธรรมนูญ ม.158 ซึ่งฝ่ายค้านมองว่าจะครบในวันที่ 23 ส.ค. ศกนี้ “ไม่รู้ ก็อาจมีคนสำรอง” แค่ประโยคเดียวเสียวไปทั้งวงการ เพราะกลายเป็นว่าพล.อ.ประวิตรยอมรับว่าอาจมีการเสนอชื่อนายกฯสำรองในการเลือกตั้งคราวหน้า ทั้งๆที่ผ่านมาพรรคพลังประชารัฐและตัวพล.อ.ประวิตรก็พูดมาตลอดว่าพรรคเสนอชื่อเดียวคือพล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกฯ
ความจริงเรื่องนายกฯสำรองกับนายกฯคนนอก ไม่น่าใช่เรื่องเดียวกัน แต่ก็มีความพยายามโยง 2 เรื่องนี้ให้มาสอดคล้องเป็นเรื่องเดียวกัน หลังพล.อ.ประวิตรหลุดโค้งออกมาพูดเรื่องนายกฯสำรองก่อนกลับลำว่าไม่มีเรื่องนี้และยังไม่ถึงเวลา ปรากฎว่ามีคนออกมารับลูกเดินต่อเรื่องนี้กันแบบเป็นขบวนการ 28 เม.ย.2565 อดุลย์ เขียวบริบูรณ์ ประธานคณะกรรมการญาติวีรชนพฤษภา ออกมาเขี่ยลูกเปิดเกมส์เสนอแนะให้ลุงป้อมนั่งเป็นนายกฯขัดตาทัพ พร้อมให้เหตุผลว่า นายกฯหมดความชอบธรรมในการบริหารประเทศแล้ว หากบิ๊กป้อมมาเป็นนายกฯจะเป็นบันไดให้บิ๊กตู่ลงจากอำนาจโดยไม่ต้องโดนเชคบิล
” พล.อ.ประยุทธ์ หมดสภาพความเป็นผู้นำประเทศไปแล้ว เพราะอยู่ในอำนาจมา8ปี มีแต่ทำให้ประเทศถอยหลังแทบทุกด้าน…..ในสภาพการณ์ปัจจุบัน ไม่มีบุคคลใดที่จะนำพาให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในระบบรัฐสภาได้ มีแต่ลุงป้อมเท่านั้นที่เป็นบุคคลมากด้วยบารมี ที่จะทำให้พล.อ.ประยุทธ์ ลงจากอำนาจได้ และหากลุงป้อมเป็นนายกฯเอง น้องตู่ก็หมดกังวลใจว่าจะไม่มีใครตามเช็คบิล” อดุลย์ไล่ส่งน้องตู่ก่อนชงพี่ป้อมขึ้นเป็นผู้นำประเทศแทน
แต่ที่ทำให้ฮือฮาและทำให้ทำเนียบรัฐบาลสะเทือนสุดๆก็คือ การออกมารับลูกต่อจากอดุลย์ชูธงเชียร์ “เจ้านาย” เหมาะสมเป็นนายกฯของประเทศไทยของ ” 2 น.” ที่เป็นสองน้องรักข้างกายพล.อ.ประวิตร คือ “น้อยกับนัส” ที่ทั้งคู่ต่างออกมาประสานเสียงว่าพล.อ.ประวิตรนี้แหละที่มีความเหมาะสมจะเป็นนายกฯคนต่อไป หากพล.อ.ประยุทธ์เกิดอุบัติเหตุทางการเมือง ” เรื่องนี้อยู่ที่ตัวพล.อ.ประวิตร หากถามว่าสามารถเป็นนายกฯ ได้หรือไม่ ความจริงท่านเป็นได้ตลอดเวลา แต่ทุกอย่างอยู่ที่ตัวท่าน” ผู้กองนัสยืนยันแถมบอกช่องทางในการตั้งเจ้านายเป็นนายกฯ สามารถทำได้ เพราะรัฐธรรมนูญ ม. 272 วรรค 2 เปิดช่องให้คนนอกที่อยู่นอกเหนือบัญชีพรรคการเมืองเป็นนายกฯได้ ขณะที่ “บิ๊กน้อย” พล.อ.วิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา หัวหน้าพรรคเศรษฐกิจไทยก็ออกมาการันตีพี่ป้อมอีกคน “ผมไม่ได้มองใคร ผมมองแค่ พล.อ.ประวิตร เพราะท่านมีความเหมาะสม ที่สามารถจะช่วยประเทศได้ในเวลานี้ เพราะท่านทำงานมาตลอด น่าจะรู้ดีว่าทำอย่างไร”
จับตาศึกซักฟอกที่จะมีขึ้นเร็วนี้ ล่าสุดข่าวว่าหมอชลน่านนัดคุยกับส.ส.กลุ่ม 16 และ พรรคเศรษฐกิจไทย หารือแนวทางอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกฯและรัฐมนตรีในรัฐบาล ปัจจุบันพรรคร่วมฝ่ายค้านมีส.ส. 208 คน ถ้าพรรคเศรษฐกิจไทย 18 เสียง ของพล.อ.วิชญ์กับร.อ.ธรรมนัสแปรพักตร์ไปเข้าร่วมด้วย เสียงของฝ่ายค้านก็จะขยับมาเป็น 226 เสียง เหลือแค่ 12 เสียงก็จะเท่ากับกึ่งหนึ่งของสภาคือ 238 เสียง ลำพังหาแนวร่วมแค่หนึ่งโหลอย่าคิดว่าเป็นไปไม่ได้ พรรคเล็กก็มีมากโขที่พร้อมย้ายข้างก็มีเยบ การเมืองช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อแบบนี้อะไรก็เกิดขึ้นได้ ยิ่งรัฐบาลเสียงปริ่มน้ำ ยิ่ง 2 ป.ไม่แนบแน่นไม่รักกันเหมือนเก่า ล้มนายกฯกลางสภาน็อคประยุทธ์คาศึกซักฟอก อย่าคิดว่าเป็นไปไม่ได้ อย่าคิดว่าทำไม่ได้ การเมืองเป็นเรื่องไม่แน่อะไรก็เกิดได้เสมอ
////////////////////////