รับลูกล้ม…..ประยุทธ์ (ภาค 2 ) จับตาศึกซักฟอก

เดินเกมส์รับลูกกันอย่างพร้อมเพรียง อดุลย์เขี่ยลูก เพื่อไทยขยายความ "น้อย-นัส" รับลูกชงชื่อ "บิ๊กป้อม" เหมาะสุดรับช่วงต่อจากประยุทธ์ กินรวบหมดไม่ว่า "นายกฯสำรอง- นายกฯคนนอก" ชูสุดลิ่ม บารมีขนาดนี้เป็นนายกฯเมื่อไหร่ก็ยังได้ จับตาศึกซักฟอก วางเกมส์ล้มประยุทธ์ภาค 2 กลางสถานการณ์รัฐบาลเสียงปริ่มน้ำ 3 ป.ง่อนแง่น นายกฯเจอหลายมรสุม รัฐบาลขาลง

ย้อนไทม์ไลน์กลับไปก่อนหน้านี้ ประเด็นเรื่อง “นายกฯสำรอง” หรือ “นายกฯคนนอก” ในยุค “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ ตลอดหลายปีที่ผ่านมาแทบไม่มีการถูกพูดถึง เพราะรัฐบาลเรือแป๊ะของบิ๊กตู่เหนียวแน่นเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอำนาจที่อยู่ในมือของ 3 ป. แห่งบูรพาพยัคฆ์ ที่ประกอบด้วบพล.อ.ประยุทธ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ และ “บิ๊กป็อก” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย แม้จะมีเรื่องระหองระแหงเกิดขึ้นมาบ้างแต่ก็เคลียร์กันจบคุยกันได้หมด เพราะฉะนั้นจึงไม่มีเหตุไม่มีประเด็นอะไรจะมาล้มพล.อ.ประยุทธ์ให้หลุดพ้นตำแหน่งก่อนครบเทอม

แต่การเมืองกี่ยุคกี่สมัยไม่มีอะไรแน่นอน 3 ป.ที่ว่ารักกันเหนียวแน่นก็ยังจืดจางห่างเหิรกัน ที่สำคัญหลังเข้าสู่ปีที่ 7 ที่เรียกว่าเป็นช่วงโค้งสุดท้ายของพล.อ.ประยุทธ์ ดูเหมือนอะไรๆก็ขาลง อะไรก็ดูยากไปหมด คนที่มารักก็ตีจาก อำนาจที่เคยมากล้นก็ค่อยๆหด พล.อ.ประยุทธ์ น่าจะเข้าใจสัจธรรมนี้เป็นอย่างดี ไม่แปลกที่ปีนี้จะเป็นปีที่นายกฯเจอมรสุมมากสุด และมีโอกาสที่จะ “หลุด” พ้นตำแหน่งสร.1 ได้มากที่สุดนับตั้งแต่ก้าวขึ้นมาควบคุมอำนาจบริหารประเทศหลังตัดสินใจปฏิวัติรัฐประหารเมื่อ 22 พ.ค.2557 ด้วยเหตุผลที่เกิดปัญหาภายในรัฐบาลเอง โดยเฉพาะการเกิดกบฎการเมืองภายในพรรคพลังประชารัฐที่เป็นพรรคแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ภายใต้การนำของ “ผู้กองนัส” ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า อดีตเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ ที่วางตัวเป็นหอกข้างแคร่นายกฯมาตลอด ก่อนแตกหักหลังเกิดเหตุคิดล้มนายกฯกลางศึกซักฟอก 31 ส.ค. – 4 ก.ย.2564 ระหว่างการอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกฯและรัฐมนตรีคราวที่แล้ว

จากนั้นก็มีปัญหาคาราคาซังเรื่อยมาหลายเรื่องหลายกรณี ที่สุดก็นำไปสู่การขับร.อ.ธรรมนัสกับก๊วนรวม 21 คนพ้นจากพรรคพลังประชารัฐ จนมีการไปตั้งพรรคการเมืองใหม่ที่ชื่อ “พรรคเศรษฐกิจไทย” แถมยังส่งผลให้เสียงของรัฐบาลที่เคยมี 267 เสียง ลดลงไปเหลือ 246 เสียง และกลายเป็นรัฐบาลเสียงปริ่มน้ำ เพราะมีเสียงเกินกึ่งหนึ่งของสภาผู้แทนราษฎร ที่ปัจจุบันมีส.ส.476 คน เกินกึ่งหนึ่งคือ 238 เสียง ไปแค่ 8 เสียงเท่านั้น แม้ก๊วนร.อ.ธรรมนัส 3 คนจะไปซบพรรคภูมิใจไทยแต่ก็ทำให้เสียงรัฐบาลเกินกึ่งหนึ่งมาแค่ 11 เสียง เพราะฉะนั้นนายกฯจึงมีเสียงในมือตอนนี้แค่ 249 เสียงเท่านั้น หากไม่นับรวมพรรคเศรษฐกิจไทย

นอกเหนือจากเรื่องเสียงและมือของรัฐบาลที่มีน้อยลงไปมากโขในปีนี้แล้ว เวลานี้นายกฯกับพี่ใหญ่ป้อมก็อยู่ในช่วง “ง่อนแง่น” เต็มทน หลังจากที่เจอมรสุมยุยงปลุกปั่นให้แตกคอขบเหลี่ยมกันมาตลอด ทั้งจากคนใกล้และคนไกล คนในและคนนอก เพราะเหตุปัจจัยต่างๆทำให้ฝ่ายค้านฝ่ายตรงข้ามสบช่องที่จะล้มพล.อ.ประยุทธ์ ได้ไม่ยาก เนื่องจากปัจจัยภายในก็เอื้ออำนวย อาทิ เสียงส.ส.มีน้อย มีปัญหาคาใจกับพล.อ.ประวิตร ปัจจัยภายนอกก็โหมรุกเร้า ทั้งสงครามรัสเซีย-ยูเครน น้ำมันขึ้น ข้าวของแพง เงินเฟ้อ โควิด -19 ระบาด ฯลฯ ด้วยเหตุที่พล.อ.ประยุทธ์กำลังเจอมรสุมหลายทาง แถมรัฐบาลยังอยู่ในช่วงขาลง ฝ่ายค้านจึงสบช่องเตรียมยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล ตามรัฐธรรมนูญ ม.151 งานนี้หลังเปิดสภา 22 พ.ค.นี้ เตรียมจัดแน่เล็งไว้หลังอภิปรายพ.ร.บ.งบประมาณ 2566 จบ รวมทั้งรอให้แก้กฎหมายลูก 2 ฉบับ เรื่องบัตรเลือกตั้ง 2 ใบ คิดคะแนนบัญชีรายชื่อให้แล้วเสร็จตามเป้าหมายของตัวเองก่อน จากนั้นถึงค่อยยื่นซักฟอก หากไม่เสร็จแล้วนายกฯตกม้าตายกลางสภา เลือกตั้งจะมีปัญหาเพราะกฎหมายลูกไม่เสร็จไม่มีกติกาเลือกตั้ง

อย่างไรก็ตามดูจากท่าที นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ออกมาตีปี๊บมีข้อมูลเด็ด 6 เรื่องล้มนายกฯได้ แถมสำทับว่ามีส.ส.พรรคเล็กกับส.ส.ซีกรัฐบาลหลายคน อาจเปลี่ยนใจมายกมือให้ฝ่ายค้านหากได้ฟังข้อมูลในมือก่อน ตรงนี้ก็สอดคล้องกับกระแสข่าวมีการเตรียม “กล้วย” แจกให้กับส.ส.ราว 30 คน สลับขั้วย้ายข้างไปยกมือให้ฝ่ายค้านในศึกซักฟอก งานนี้ยิ่งทำให้กระแสล้มนายกฯมีความเป็นไปได้มากยิ่งขึ้น ยิ่งไปกว่านั้นในช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมาพล.อ.ประวิตรไปต่างประเทศก็มีการปั่นข่าวว่าไปเจอนายใหญ่คนแดนไกลอย่างทักษิณ ชินวัตร ด้วยเหตุนี้จึงมีการจับโยงไปให้มั่วกันหมด แม้ล่าสุดทั้งคู่จะออกมาบอกว่าไม่มีอะไรในก่อไผ่ไม่ได้ไปเจอกัน พล.อ.ประวิตรไปอังกฤษ-สวิสเซอร์แลนด์ ส่วนทักษิณอยู่ดูไบกับลูกๆหลานๆ

ความจริงกระแสนายกฯสำรอง รวมทั้ง นายกฯคนนอก น่าจะจบไปแล้ว แต่ก็เป็นพล.อ.ประวิตรเองนั้นแหละที่ดัน ” ลั่น” ออกมาตอบคำถามนักข่าวแบบเมาหมัดก่อนการกระชุมครม. 26 เม.ย.ที่ผ่านมา ยอมรับว่าพรรคพลังประชารัฐอาจมีการเสนอชื่อนายกฯสำรอง เตรียมการณ์รองรับไว้หากพล.อ.ประยุทธ์เกิดอุบัติเหตุไม่ได้ไปต่อจากการตีความนับอายุการทำงานของนายกฯต้องไม่เกิน 8 ปี ตามรัฐธรรมนูญ ม.158 ซึ่งฝ่ายค้านมองว่าจะครบในวันที่ 23 ส.ค. ศกนี้ “ไม่รู้ ก็อาจมีคนสำรอง” แค่ประโยคเดียวเสียวไปทั้งวงการ เพราะกลายเป็นว่าพล.อ.ประวิตรยอมรับว่าอาจมีการเสนอชื่อนายกฯสำรองในการเลือกตั้งคราวหน้า ทั้งๆที่ผ่านมาพรรคพลังประชารัฐและตัวพล.อ.ประวิตรก็พูดมาตลอดว่าพรรคเสนอชื่อเดียวคือพล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกฯ

 

ความจริงเรื่องนายกฯสำรองกับนายกฯคนนอก ไม่น่าใช่เรื่องเดียวกัน แต่ก็มีความพยายามโยง 2 เรื่องนี้ให้มาสอดคล้องเป็นเรื่องเดียวกัน หลังพล.อ.ประวิตรหลุดโค้งออกมาพูดเรื่องนายกฯสำรองก่อนกลับลำว่าไม่มีเรื่องนี้และยังไม่ถึงเวลา ปรากฎว่ามีคนออกมารับลูกเดินต่อเรื่องนี้กันแบบเป็นขบวนการ 28 เม.ย.2565 อดุลย์ เขียวบริบูรณ์ ประธานคณะกรรมการญาติวีรชนพฤษภา ออกมาเขี่ยลูกเปิดเกมส์เสนอแนะให้ลุงป้อมนั่งเป็นนายกฯขัดตาทัพ พร้อมให้เหตุผลว่า นายกฯหมดความชอบธรรมในการบริหารประเทศแล้ว หากบิ๊กป้อมมาเป็นนายกฯจะเป็นบันไดให้บิ๊กตู่ลงจากอำนาจโดยไม่ต้องโดนเชคบิล
” พล.อ.ประยุทธ์ หมดสภาพความเป็นผู้นำประเทศไปแล้ว เพราะอยู่ในอำนาจมา8ปี มีแต่ทำให้ประเทศถอยหลังแทบทุกด้าน…..ในสภาพการณ์ปัจจุบัน ไม่มีบุคคลใดที่จะนำพาให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในระบบรัฐสภาได้ มีแต่ลุงป้อมเท่านั้นที่เป็นบุคคลมากด้วยบารมี ที่จะทำให้พล.อ.ประยุทธ์ ลงจากอำนาจได้ และหากลุงป้อมเป็นนายกฯเอง น้องตู่ก็หมดกังวลใจว่าจะไม่มีใครตามเช็คบิล” อดุลย์ไล่ส่งน้องตู่ก่อนชงพี่ป้อมขึ้นเป็นผู้นำประเทศแทน

แต่ที่ทำให้ฮือฮาและทำให้ทำเนียบรัฐบาลสะเทือนสุดๆก็คือ การออกมารับลูกต่อจากอดุลย์ชูธงเชียร์ “เจ้านาย” เหมาะสมเป็นนายกฯของประเทศไทยของ ” 2 น.” ที่เป็นสองน้องรักข้างกายพล.อ.ประวิตร คือ “น้อยกับนัส” ที่ทั้งคู่ต่างออกมาประสานเสียงว่าพล.อ.ประวิตรนี้แหละที่มีความเหมาะสมจะเป็นนายกฯคนต่อไป หากพล.อ.ประยุทธ์เกิดอุบัติเหตุทางการเมือง ” เรื่องนี้อยู่ที่ตัวพล.อ.ประวิตร หากถามว่าสามารถเป็นนายกฯ ได้หรือไม่ ความจริงท่านเป็นได้ตลอดเวลา แต่ทุกอย่างอยู่ที่ตัวท่าน” ผู้กองนัสยืนยันแถมบอกช่องทางในการตั้งเจ้านายเป็นนายกฯ สามารถทำได้ เพราะรัฐธรรมนูญ ม. 272 วรรค 2 เปิดช่องให้คนนอกที่อยู่นอกเหนือบัญชีพรรคการเมืองเป็นนายกฯได้ ขณะที่ “บิ๊กน้อย” พล.อ.วิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา หัวหน้าพรรคเศรษฐกิจไทยก็ออกมาการันตีพี่ป้อมอีกคน “ผมไม่ได้มองใคร ผมมองแค่ พล.อ.ประวิตร เพราะท่านมีความเหมาะสม ที่สามารถจะช่วยประเทศได้ในเวลานี้ เพราะท่านทำงานมาตลอด น่าจะรู้ดีว่าทำอย่างไร”

 

จับตาศึกซักฟอกที่จะมีขึ้นเร็วนี้ ล่าสุดข่าวว่าหมอชลน่านนัดคุยกับส.ส.กลุ่ม 16 และ พรรคเศรษฐกิจไทย หารือแนวทางอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกฯและรัฐมนตรีในรัฐบาล ปัจจุบันพรรคร่วมฝ่ายค้านมีส.ส. 208 คน ถ้าพรรคเศรษฐกิจไทย 18 เสียง ของพล.อ.วิชญ์กับร.อ.ธรรมนัสแปรพักตร์ไปเข้าร่วมด้วย เสียงของฝ่ายค้านก็จะขยับมาเป็น 226 เสียง เหลือแค่ 12 เสียงก็จะเท่ากับกึ่งหนึ่งของสภาคือ 238 เสียง ลำพังหาแนวร่วมแค่หนึ่งโหลอย่าคิดว่าเป็นไปไม่ได้ พรรคเล็กก็มีมากโขที่พร้อมย้ายข้างก็มีเยบ การเมืองช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อแบบนี้อะไรก็เกิดขึ้นได้ ยิ่งรัฐบาลเสียงปริ่มน้ำ ยิ่ง 2 ป.ไม่แนบแน่นไม่รักกันเหมือนเก่า ล้มนายกฯกลางสภาน็อคประยุทธ์คาศึกซักฟอก อย่าคิดว่าเป็นไปไม่ได้ อย่าคิดว่าทำไม่ได้ การเมืองเป็นเรื่องไม่แน่อะไรก็เกิดได้เสมอ
////////////////////////

 

ข่าวที่น่าสนใจ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ข่าวล่าสุด

(50 ปีสัมพันธ์ไทย-จีน) ธรรมชาติวาดเส้นแบ่ง 'แม่น้ำสองสี' ไหลบรรจบในกานซู่
กลุ่มคนจีนยกพวกรุมทำร้ายเพื่อนบ้านเจ็บ 2 ดอดมอบตัวอ้างปากแจ๋ว เหตุเพราะไรเดอร์ส่งปูราคา 4 พันผิดบ้าน
ชาวบ้าน แตกตื่น พบ “ทารก” ใส่ถุงดำทิ้งริมทาง รีบแจ้ง ตำรวจ กู้ภัยฯ ตรวจสอบที่แท้เป็นตุ๊กตายาง
สงขลา แถลงจัด “Songkhla International Marathon 2025” เปิดศึกวิ่งนานาชาติ
ชาวอำเภอบัวเชด เร่งทำบังเกอร์ เตรียมพร้อมรับสถานการณ์ชายแดน
รมช.คลัง ลงพื้นที่ สมุทรสงคราม เปิดตัวโครงการ "ศุกร์ได้ลุ้น สุขได้ออม กับหวยเกษียณ" หนุนการออมด้วยสลากดิจิทัลใบละ 50 บาท

ดู LIVE รายการ

เราใช้ คุ้กกี้ เพื่อให้ทุกคนได้ประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น​