ไล่จุรินทร์-บี้กรรมการบริหารพรรค เปลี่ยนขั้วอำนาจประชาธิปัตย์

ก๊วนมาร์คเดินเกมส์เขย่าเก้าอี้จุรินทร์ กดดันกรรมการบริหารพรรคลาออก หวังล้างไพ่เปลี่ยนขั้วอำนาจในประชาธิปัตย์ใหม่ดึงอภิสิทธิ์ขึ้นแทน ย้อนอดีตมาร์คนำพรรคแพ้เลือกตั้ง เปิดทางจุรินทร์ขึ้นคุมพรรค หยิบชิ้นปลามัน ตั้งคนใกล้ชิดเป็นรัฐมนตรี เกือบ 3 ปี คุมพรรค ท่ามกลางข้อครหาไร้บารมี เล่นพรรคเล่นพวก ไม่ฟังเสียงคนอื่น เปิดเกณฑ์ข้อบังคับ 4 แนวทางล้างไพ่กก.บห. ดูแล้วลุ้นยากเพราะส่วนใหญ่ล้วนคนใกล้ชิด "จุรินทร์-เฉลิมชัย" ดูทรงคุมอำนาจพรรคอีกยาว

การพ่ายแพ้การเลือกตั้งอย่างย่อยยับของพรรคประชาธิปัตย์ ในการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันที่ 24 มี.ค.2562 ที่พรรคได้คะแนนทั่วประเทศแค่ 3,960,128 คะแนน ตกมาเป็นพรรคอันดับ 4 ในยุทธจักรการเมือง ภาพรวมทั่วประเทศได้ผู้แทนไปแค่ 53 คน แบ่งเป็นส.ส.เขต 33 คน บัญชีรายชื่อ 20 คน ภาคใต้ได้ส.ส. 22 คน ภาคอีสานได้ส.ส. 2 คน ภาคเหนือเหลือคนเดียว หนักสุดคือเมืองหลวงกทม. ที่พรรคประชาธิปัตย์สูญพันธุ์ไม่ได้ผู้แทนแม้แต่คนเดียว ขายหน้าชาวบ้านแทบต้องเอาปี๊บคลุมหัว ผลจากความพ่ายแพ้ดังกล่าวทำให้ “อาจารย์มาร์ค” อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ต้องแสดงความรับผิดชอบด้วยการประกาศ “ลาออก” ในฐานะหัวหน้าพรรคที่ล้มเหลวในการสู้ศึกเลือกตั้ง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะพรรคประชาธิปัตย์อยู่ในช่วงขาลงแบบกู่ไม่กลับ แต่ส่วนสำคัญของความพ่ายแพ้แบบหมดรูปก็มาจากกรณีที่อภิสิทธิ์ “ขวาทางลม” ประกาศไม่สนับสนุนไม่ขออยู่ข้างเดียวกับฝ่ายผู้นำคณะรัฐประหาร ยืนกระต่ายขาเดียวอย่างแข็งกร้าวว่าพรรคประชาธิปัตย์จะไม่ร่วมสังฆกรรมไม่ขอชู “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แดนดิเดตนายกฯจากพรรคพลังประชารัฐขึ้นเป็นนายกฯ สุดท้ายคนไทยก็ให้คำตอบว่าอภิสิทธิ์เลือกผิด หลังจากทุกภาคที่เคยเป็นแฟนพรรคประชาธิปัตย์เททิ้งพรรคเก่าแก่ ก่อนหันไปเลือกพรรคใหม่อย่างพรรคพลังประชารัฐ เพราะต้องการให้พล.อ.ประยุทธ์อยู่ดูแลบ้านเมืองบริหารประเทศต่อไปในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญของบ้านเมืองที่สุดอภิสิทธิ์ต้องแสดงความรับผิดชอบ ต้องไขก๊อกออกจากผู้นำพรรคแบบเจ็บช้ำหลังแพ้เลือกตั้งแบบเจ็บปวด พาพรรคหลักร้อยตกมาเป็นพรรคห้าสิบ จากนั้นพรรคประชาธิปัตย์ก็ได้เวลาผลัดใบอำนาจ เข้าสู่ยุคจุรินทร์ ลักษณะวิศิษฏ์ ที่ก้าวขึ้นเป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์คนที่ 8 หลังได้รับฉันทามติจากที่ประชุมใหญ่ของพรรค เมื่อ 15 พ.ค.2562 ด้วยคะแนนเกินครึ่ง 135 คะแนน (50.59 %) ทิ้งห่างคู่เทียบคู่แข่งคนอื่นๆแบบไม่เห็นฝุ่น อาทิ พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ได้ 83 คะแนน (37.21%) , กรณ์ จาติกวณิช ได้ 14 คะแนน (8.48 %) , อภิรักษ์ โกษะโยธิน ได้ 8 คะแนน ( 3.69 %) นับแต่นั้นจุรินทร์จึงก้าวขึ้นมาครองอำนาจในพรรคประชาธิปัตย์แบบเบ็ดเสร็จ

แต่การก้าวขึ้นเป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ของจุรินทร์ในตอนนั้นก็ถูกมองว่าไม่สง่างาม เพราะหลังมีอำนาจได้ไม่นาน เจ้าตัวก็ประกาศลบจุดยืนอภิสิทธิ์ด้วยการนำพาพรรคเข้าร่วมรัฐบาลสนับสนุนพล.อ.ประยุทธุ์เป็นนายกฯ เหยียบธงเผาอุดมการณ์ที่อภิสิทธิ์อุตส่าห์แลกมาด้วยความตกต่ำของพรรค ที่ประกาศกร้าวหัวเด็ดตีนขาดก็จะไม่เอาพรรคอันเป็นที่รักไปอยู่ใต้ตีนทหารไปค่ำเก้าอี้นั่งให้หัวหน้าคณะปฏิวัติ อภิสิทธิ์ไม่ทำแต่จุรินทร์ยอม แถมการเข้าไปเป็นพรรคร่วมรัฐบาลภายใต้การตัดสินใจของจุรินทร์ในตอนนั้นก็ถูกมองจากคนในพรรคว่าไม่สวยไม่หร่อยจริง เพราะเป็นการเก็บเกี่ยวความสำเร็จภายหลังการสู้ศึกอย่างหนักหน่วงของภิสิทธิ์และพลพรรค ที่กว่าจะได้ส.ส.แต่ละเขต ผู้แทนแต่ละคนมาได้ก็เลือดตาแทบกระเด็น ไหนต้องสู้กับพรรคเพื่อไทยและพรรคอนาคตใหม่ ไหนจะต้องสู้กับพรรคพลังประชารัฐที่มีแฟนคลับมีคนชื่นชอบฐานเดียวกัน แต่เสร็จศึกจุรินทร์ก็เข้ามาชุบมือเปิบเอาพรรคประชาธิปัตย์ไปร่วมรัฐบาลหนุนลุงตู่เป็นนายกฯ แถมโควต้ารัฐมนตรีที่พรรคได้รับมาก็เอาไปแบ่งพวกพ้องคนกันเองหมด จะเหลือแชร์ให้ขั้วอภิสิทธิ์ที่เห็นชัดๆก็แค่ 2 คน คือ จุติ ไกรฤกษ์ กับ สาธิต ปิตุเตชะ ส่วนที่เหลือแบ่งเค้กให้สายตัวเองหมด โดยไม่กระจายเก้าอี้รัฐมนตรีให้กับกลุ่มอื่นๆในพรรคเพื่อให้เกิดความชอบธรรม

แค่นั้นยังไม่พอตลอดระยะเวลาเกือบ 3 ปีที่เป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ จุรินทร์ถูกกล่าวหาว่าเล่นพรรคเล่นพวก ไม่เอาคนอื่น ไม่ฟังเสียงจากขั้วตรงข้าม ขั้วเห็นต่างในพรรคเลย กรณีดึงปริญญ์ พานิชภักดิ์ มาคุมเศรษฐกิจแทนกรณ์ก็ชัดเจนว่าไม่เห็นหัวคนในที่อยู่ในพรรคมาก่อน แถมใช้วิธีพิเศษยกเว้นข้อบังคับในการดึงปริญญ์เข้ามา แค่นั้นยังไม่พอ 3 คนที่เป็นแคนดิเดตชิงหัวหน้าพรรคกับจุรินทร์ท้ายสุดก็อยู่ในพรรคไม่ได้ ต้องระเห็จออกนอกพรรคไปทั้งหมด กรณ์ไปตั้งพรรคกล้า พีระพันธุ์หนีไปทำงานกับนายกฯ แถมตลอดระยะเวลาเกือบ 36 เดือนที่เป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ปรากฎว่ามีลูกพรรคลาออกทิ้งบ้านย้านฐานยาวเป็นหางว่าว ด้วยสาเหตุต่างกรรมต่างวาระ เกือบ 20 คน แม้ไม่ได้มีเหตุผลจากด้านจุรินทร์โดยตรงทั้งหมด แต่การเดินจากพรรคไปของคนเก่าคนแก่ระดับที่เป็น “มันสมอง” และ “หัวกะทิ” ของพรรคหลายคนในหลายกรณีตั้งแต่จุรินทร์เข้ามาเรืองอำนาจ อาทิ กษิตย์ ภิรมย์ อดีต รมว.ต่างประเทศ , กอร์ปศักดิ์ สภาวสุ อดีตรองนายกฯ, นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม , พีระพันธุ์ อดีตรมว.ยุติธรรม , กรณ์ อดีตรมว.คลัง , อรรถวิชช์ สุวรรณภักดี อดีตส.ส.กทม., นิพิฎฐ์ อินทรสมบัติ อดีตรมว.วัฒนธรรม , วิทยา แก้วภราดัย อดีตรมว.สาธารณสุข ฯลฯ ความจริงมีเยอะกว่านี้อีกมากก็สะท้อน “บารมี” “เมตตา” และ “ศักยภาพ” ของหัวหน้าพรรคได้เป็นอย่างดี

คลื่นใต้น้ำในพรรคใหญ่พรรคเก่าแก่พรรคที่มีนักการเมืองเขี้ยวลากดินเรียกพี่อย่างพรรคประชาธิปัตย์นั้นมีมาทุกยุคทุกสมัย เรื่องนี้ทุกคนรู้ดีแต่วิกฤติรอบนี้ก็เป็นอีกครั้งที่แสดงให้เห็นว่าการเมืองในพรรคประชาธิปัตย์ “ไม่เคยนิ่ง” ไม่ว่ายุคชวน บัญญัติ อภิสิทธิ์ เรื่อยมาถึงจุรินทร์ เมื่อใดที่พรรคอ่อนแอเมื่อใดที่พรรคมีปัญหาเมื่อใดที่หัวหน้าพรรคเสื่อมทรุด ฝ่ายตรงข้ามฝ่ายเห็นต่างก็พร้อมขยี้ไล่บี้อีกฝ่ายทันที นี้ขนาดเพิ่้งพ้นวันครบรอบก่อตั้งพรรค 77 ปี เมื่อ 6 เม.ย.2565 ที่ผ่านมา ชนิดกลิ่นธูปยังไม่ทันจางหาย คนในพรรคก็มาเปิดศึกลากไส้กันจนอุตลุตชนิดไม่เกรงใจพระแม่ธรณีบีบมวยผม สิ่งศักดิ์สิทธิ์ของพรรคที่เคารพบูชากันเลย อย่าได้แปลกใจหลังเกิดเหตุปริญญ์ต้องเป็นผู้ต้องหาลวนลามและทำอนาจารสาวหลายราย จะมีความพยายามผสมโรงไล่จี้จุรินทร์ให้ลาออกพ้นหัวหน้าพรรค บดขยี้กรรมการบริหารพรรคให้แสดงความรับผิดชอบ แบบเอาเป็นเอาตาย โดยเฉพาะการออกมาเปิดเกมส์เรียกร้องให้จุรินทร์ลาออก หรือไม่กรรมการบริหารพรรคก็ต้องไขก๊อกพ้นสภาพออกไป จากทั้ง เทพไท เสนพงศ์ , สาทิตย์ วงศ์หนองเตย , พนิช วิกิตเศรษฐ์ หรือการประกาศลาออกจากพรรคประชาธิปัตย์พ้นไปเลยของวิทยา การลาออกจากรองหัวหน้าพรรคของกนก วงศ์ตระหง่าน ที่ทุกคนก็รู้กันอยู่ว่าเป็นก๊วนอภิสิทธิ์เป็นสายมาร์ค ที่หวังพลิกเกมส์ใช้โอกาสนี้ที่จุรินทร์เพลี้ยงพล้ำจากเรื่องปริญญ์ หวังเปลี่ยนขั้วอำนาจใหม่ในพรรคประชาธิปัตย์ เป้าหมายไม่ต้องบอกก็รู้หวังเอาอภิสิทธ์กลับมาเป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ หรือแม้แต่ผู้อาวุโสบางคนที่แอบลุ้นแอบเชียร์เสนอทางรอด ขอเอา “ตาอยู่” ให้ชวนคัมแบ๊กกลับมากู้วิกฤติพรรคประชาธิปัตย์

แต่การจะทำเรื่องดังกล่าวให้สำเร็จไม่ใช้เรื่้องง่ายๆ เพราะมีพรรคประชาธิปัตย์มีกฎ กติกาบังคับอยู่ว่าการพ้นจากกรรมการบริหารพรรคมีด้วยกัน 4 ข้อ คือ 1.หัวหน้าพรรคลาออก 2.ครบวาระการทำงาน 4 ปี 3.กรรมการบริหารพรรคเกินกึ่งหนึ่งลาออก และ 4.ที่ประชุมใหญ่สามัญของพรรคมีมติ 3 ใน 4 ให้พ้นสภาพ กรณีจะให้หัวหน้าพรรคอย่างจุรินทร์ลาออกแทบลืมไปได้เลย เพราะคนแข็งแบบจุรินทร์แถมไม่ได้เป็นคนทำผิดจะให้ออกก็ใช่เรื่อง เพราะฉะนั้นข้อนี้ไม่มีทางเป็นไปได้ ครบวาระการทำงานก็ยังเหลือเวลาอีก 1 ปีเศษ จะให้ที่ประชุมใหญ่สามัญของพรรคมีมติก็ยากมาก เพราะขนาดการประชุมใหญ๋ที่ผ่านมา 23 เม.ย.ก็แทบไม่มีใครกล้าพูดเรื่องนี้ เพราะฉะนั้นทางออกที่น่าจะทำได้ง่ายสุดคือการบี้ให้กรรมการบริหารพรรคลาออกเกินกึ่งหนึ่ง 22 เม.ย.ที่ผ่านมาเว็บไซด์ราชกิจจานุเบกษาได้เผยแพร่ประกาศนายทะเบียนพรรคการเมือง เรื่อง “การเปลี่ยนแปลงกรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์” โดยประกาศรายชื่อกรรมหารบริหารพรรคชุดใหม่รวม 37 คน จากเดิมที่มี 35 คน โดย 2 คนใหม่ที่เข้ามาก็คือ “นายกฯชาย” เดชอิศม์ ขาวทอง ส.ส.สงขลา ในฐานะรองหัวหน้าพรรค กับ ชัยชนะ เดชเดโช รองเลขาธิการพรรค

อย่างไรก็ตามหลังเกิดปัญญาปริญญ์ ส่งผลให้เกิดเอฟเฟกต์มีกรรมการบริหารพรรคหลายคนขอลาอออกจากตำแหน่ง ประกอบด้วย 1. ปริญญ์ 2. “เจ๊ติ่ง” มัลลิกา บุญมีตระกูล คนสนิทจุรินทร์ที่ออกมาฟาดกลับคนไล่เจ้านายในไลน์กลุ่มพรรค และ 3.กนก ส่งผลให้กรรมการบริหารพรรคชุดปัจจุบันเหลือ 34 คน ทั้งนี้ในส่วนของส.ส.หญิงของพรรคที่เป็นกรรมการบริหารพรรคถึง 7 คนซึ่งมีข่าวว่าเซ็นใบลาออกไว้หมดแล้ว แต่โดนผู้ใหญ่ในพรรคขอร้องไว้ ที่สุดก็ไม่ได้ลาออกแต่อย่างใด เพราะฉะนั้นคงเหลือกรรมการบริหารพรรคอยู่ทั้งหมด 34 คน เกินกึ่งหนึ่งที่จะทำให้ทั้งหมดพ้นไปก็ต้องลาออก 18 คน ถามว่าจะมีใครลาออกตามไปอีกหรือไม่ เพื่อล้มจุรินทร์ล้างไพ่พรรคใหม่ ตอบได้เลยว่าคงยาก เพราะส่วนใหญ่ที่เหลืออยู่ล้วนเป็นสายจุรินทร์ รวมถึงคนของ “เสี่ยต่อ” เฉลิมชัย ศรีอ่อน เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ทั้งนั้น เพราะฉะนั้นก๊วนอภิสิทธิ์เด็กมาร์คที่หวังผสมโรงออกมาขย่มไล่จุรินทร์ งานนี้บอกตรงๆว่า หมดลุ้นแห้วรับประทานไม่มีทางสำเร็จ แข็งโป๊กอย่างจุรินทร์ไม่มีวันออก หนำซ้ำพวกหอกข้างแคร่ที่ลาออกไป ไปๆมาๆ อาจกลายเป็นการ “เข้าทาง” จุรินทร์กับเฉลิมชัย ที่ไม่ต้องออกแรงไล่ฝ่ายตรงข้ามฝ่ายเห็นต่างของพรรคให้เหนื่อยแรงเสียเวลา หน้าฉากอาจตกใจที่เลือดไหลไม่หยุด หลังฉากอาจนั่งตีขิมจิบไวน์เพลิน จู่ๆได้ล้างบ้านไปในตัว อนาคตพรรคประชาธิปัตย์จะได้เหลือแต่พวกตัวเองเพียวๆ จัดวางตำแหน่งก็ง่ายสู้ศึกเลือกตั้งคราวหน้าก็สบาย คนมี เงินมี บารมีก็ล้นอยู่แล้ว เกาะลุงตู่เป็นรัฐบาลต่อไปยาวๆ ถึงวัน ว. เวลา น.ในการเลือกตั้งค่อยไปลุ้นตอนนั้นกันอีกที แต่ถ้าไม่มั่นใจว่าจะได้ส.ส.มากกว่าปัจจุบัน (51 คน) นักเลงการเมืองเจ้าพ่อสามอ่าวอย่างเสี่ยต่อไม่มีทางประกาศประกาศิต ” วันนี้พรรคประชาธิปัตย์มีส.ส. 51 คน ปีหน้าเลือกตั้งเชื่อว่าเราจะมีส.ส.มากกว่านี้ หากพรรคไม่ได้มากกว่าที่้เป็นอยู่ ผมเองจะกลับมาประจวบฯและจะเลิกเล่นการเมืองทั้งชีวิต” เฉลิมชัยกล่าวช่วงเทศกาลสงกรานต์ ชัดเจนว่าอำนาจในพรรคประชาธิปัตย์ยังอยู่ในมือของคู่หู “จุรินทร์-เฉลิมชัย” อีกนาน อย่างน้อยจนกว่าการเลือกตั้งครั้งหน้าจะเกิดขึ้น
//////////////////

 

ข่าวที่น่าสนใจ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ข่าวล่าสุด

(50 ปีสัมพันธ์ไทย-จีน) ธรรมชาติวาดเส้นแบ่ง 'แม่น้ำสองสี' ไหลบรรจบในกานซู่
กลุ่มคนจีนยกพวกรุมทำร้ายเพื่อนบ้านเจ็บ 2 ดอดมอบตัวอ้างปากแจ๋ว เหตุเพราะไรเดอร์ส่งปูราคา 4 พันผิดบ้าน
ชาวบ้าน แตกตื่น พบ “ทารก” ใส่ถุงดำทิ้งริมทาง รีบแจ้ง ตำรวจ กู้ภัยฯ ตรวจสอบที่แท้เป็นตุ๊กตายาง
สงขลา แถลงจัด “Songkhla International Marathon 2025” เปิดศึกวิ่งนานาชาติ
ชาวอำเภอบัวเชด เร่งทำบังเกอร์ เตรียมพร้อมรับสถานการณ์ชายแดน
รมช.คลัง ลงพื้นที่ สมุทรสงคราม เปิดตัวโครงการ "ศุกร์ได้ลุ้น สุขได้ออม กับหวยเกษียณ" หนุนการออมด้วยสลากดิจิทัลใบละ 50 บาท

ดู LIVE รายการ

เราใช้ คุ้กกี้ เพื่อให้ทุกคนได้ประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น​