No data was found

GULF ปี 64 กำไรพุ่ง 97% สูงสุดเป็นประวัติการณ์

กดติดตาม TOP NEWS

บมจ.กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ เผยปี 64 มีรายได้รวม 52,870 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 48% และกำไรจากการดำเนินงาน ที่ 8,812 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 97% เทียบกับปีก่อน สูงสุดเป็นประวัติการณ์ หลังโรงไฟฟ้า IPP ใหม่เปิดดำเนินการ และผลตอบแทนจากการลงทุนใน INTUCH คาดปี 65 รายได้รวมเติบโตราว 60% จากปีก่อน พร้อมรุกสู่ธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล

บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 4/2564 โดยมีกำไรจากการดำเนินงาน (Core Profit) เท่ากับ 2,728 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,488 ล้านบาท หรือ 120% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน โดยสาเหตุหลักมาจากการเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ของโครงการโรงไฟฟ้า GSRC หน่วยที่ 1 และหน่วยที่ 2 (รวม 1,325 เมกะวัตต์) ในเดือนมีนาคม และตุลาคม 2564 และรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจาก INTUCH จำนวน 1,093 ล้านบาท โดยกำไรสุทธิ (Net Profit) ในไตรมาส 4/2564 เท่ากับ 3,043 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 65% จาก 1,844 ล้านบาทในไตรมาส 4/2563

ในปี 2564 GULF มีรายได้รวม (Total Revenue) เท่ากับ 52,870 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 48% จากปี 2563 และมี Core Profit เท่ากับ 8,812 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 97% จาก 4,478 ล้านบาทในปีก่อน โดยปัจจัยหลักมาจากเงินปันผลรับจาก INTUCH จำนวน 2,349 ล้านบาท และรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจาก INTUCH จำนวน 1,093 ล้านบาท โดย GULF เปลี่ยนวิธีบันทึกบัญชีสำหรับเงินลงทุนใน INTUCH มาเป็นวิธีส่วนได้เสีย (Equity Method) ตั้งแต่ไตรมาส 4/2564 เป็นต้นมา

นอกจากนี้ Core Profit ยังเพิ่มขึ้นจากโครงการโรงไฟฟ้าใหม่ที่เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ระหว่างปี 2564 ได้แก่ โรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ GSRC หน่วยที่ 1 และ 2 และโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ DIPWP ระยะที่ 1 ขนาดกำลังการผลิตไฟฟ้าติดตั้ง 40 เมกะวัตต์ ที่ประเทศโอมาน ซึ่งเปิดดำเนินการในเดือนธันวาคม 2564 อีกทั้งยังรับรู้ผลการดำเนินงานทั้งปีของโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมในทะเล BKR2 ขนาดกำลังการผลิตไฟฟ้าติดตั้ง 465 เมกะวัตต์ ที่ประเทศเยอรมนี และรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจาก PTT NGD เต็มปี

สำหรับกลุ่มโรงไฟฟ้า SPP 12 โรงภายใต้กลุ่ม GMP มีปริมาณการขายไฟฟ้าให้แก่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และลูกค้าอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นในปี 2564 โดยเฉพาะกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ กลุ่มยานยนต์ และกลุ่มบรรจุภัณฑ์ แม้ว่าจะมีการหยุดซ่อมบำรุงตามแผนของโรงไฟฟ้าจำนวน 4 โครงการ โดย Load Factor เฉลี่ยของลูกค้าอุตสาหกรรมภายใต้กลุ่ม GMP ในปี 2564 เท่ากับ 60% เมื่อเทียบกับ 56% ในปี 2563

ในส่วนของกลุ่มโรงไฟฟ้า SPP 7 โรงภายใต้กลุ่ม GJP มีปริมาณการขายไฟฟ้าให้ลูกค้าอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นเช่นกัน โดย Load Factor เฉลี่ยของลูกค้าอุตสาหกรรมในปี 2564 เท่ากับ 64% เมื่อเทียบกับ 60% ในปีก่อน เนื่องจากในปี 2564 ความต้องการใช้ไฟฟ้าของลูกค้าอุตสาหกรรมทุกภาคธุรกิจกลับมาฟื้นตัวสู่ระดับปกติ

 

ข่าวที่น่าสนใจ

ทั้งนี้ อัตรากำไรขั้นต้นจากการขาย (Gross Profit Margin) ในปีนี้ เท่ากับ 27.3% ลดลงเล็กน้อยจาก 27.6% ในปี 2563 เนื่องจากต้นทุนค่าก๊าซธรรมชาติเพิ่มขึ้น 9% จาก 244.51 บาท/ล้านบีทียูในปี 2563 เป็น 266.02 บาท/ล้านบีทียูในปี 2564 ในขณะที่ค่า Ft เฉลี่ยลดลงจากปีก่อน 29% (จาก -0.1188 บาท/กิโลวัตต์-ชั่วโมง เป็น -0.1532 บาท/กิโลวัตต์-ชั่วโมง)

อย่างไรก็ตาม เนื่องจาก GULF มีสัดส่วนการขายไฟฟ้าให้กับ กฟผ. ถึง 86% ซึ่งต้นทุนค่าก๊าซธรรมชาติจะถูกส่งผ่าน (pass through) ในรูปของรายได้ค่าไฟฟ้าไปยัง กฟผ. ในขณะที่มีสัดส่วนการขายไฟฟ้าให้ลูกค้าอุตสาหกรรมเพียงแค่ 14% จึงได้รับผลกระทบอย่างจำกัดจากราคาค่าก๊าซธรรมชาติที่เพิ่มขึ้น

ทั้งนี้ อัตรากำไร EBITDA Margin ในปี 2564 เท่ากับ 41.9% เพิ่มขึ้นจาก 37.6% ในปี 2563 โดยสาเหตุหลักมาจากรายได้เงินปันผลรับจาก INTUCH

ในส่วนของกำไรสุทธิ ส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่สำหรับปี 2564 (ซึ่งรวมผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน) เท่ากับ 7,671 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 79% จากปีก่อน เนื่องจากผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นตามที่กล่าวไปแล้วข้างต้น

ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2564 GULF มีอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (Net Interest-Bearing Debt to Equity) อยู่ที่ 1.77 เท่า ซึ่งสูงขึ้นจาก 1.47 เท่า ณ สิ้นปี 2563 เนื่องจาก GULF ได้ทำการเบิกเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงินเพื่อก่อสร้างโครงการโรงไฟฟ้า GSRC และ GPD ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้า IPP ขนาดกำลังการผลิตไฟฟ้าติดตั้งรวม 5,300 เมกะวัตต์ ประกอบกับ GULF ได้มีการออกหุ้นกู้จำนวน 30,000 ล้านบาท เพื่อนำมาคืนเงินกู้บางส่วนจากสถาบันการเงินที่ GULF กู้มาเพื่อชำระค่าหุ้นของ INTUCH อย่างไรก็ตาม อัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้นดังกล่าว ยังต่ำกว่าข้อกำหนดสิทธิสำหรับหุ้นกู้ (Bond Covenant) ที่ 3.50 เท่า ทำให้ GULF ยังมีศักยภาพในการขยายการลงทุนในอนาคตได้มากกว่า 100,000 ล้านบาท

นางสาวยุพาพิน วังวิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน เปิดเผยว่า รายได้รวมของปี 2565 คาดว่าจะเติบโตประมาณ 60% จากปี 2564 เนื่องมาจากการเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ของโครงการโรงไฟฟ้า GSRC หน่วยที่ 3 และ 4 ซึ่งมีกำลังการผลิตไฟฟ้าติดตั้งรวม 1,325 เมกะวัตต์ โดยจะเริ่มจำหน่ายไฟฟ้าในเดือนมีนาคมและตุลาคม 2565 และโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมในทะเลที่ประเทศเวียดนาม (Mekong Wind) ซึ่งคาดว่าจะเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ครบ 128 เมกะวัตต์ ภายในไตรมาส 2/2565 ประกอบกับโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา (Solar Rooftop) ของกลุ่ม GULF1 ซึ่งจะเริ่มทยอยเปิดดำเนินการอีกประมาณ 100 เมกะวัตต์ภายในปี 2565 ซึ่งทั้งหมดนี้ จะทำให้ GULF มีกำลังการผลิตไฟฟ้าติดตั้งเพิ่มขึ้นจาก 7,875 เมกะวัตต์ ในปี 2564 เป็น 9,422 เมกะวัตต์ในปี 2565

นอกจากนี้ ในปี 2565 GULF จะเริ่มรับรู้กำไรเต็มปีจากโครงการโรงไฟฟ้า GSRC หน่วยที่ 1 และหน่วยที่ 2 และโครงการโรงไฟฟ้า DIPWP ระยะที่ 1 ที่ประเทศโอมาน ประกอบกับจะรับรู้ส่วนแบ่งกำไรเต็มปีจากการลงทุนใน INTUCH ด้วย

นางสาวยุพาพิน กล่าวต่อว่า GULF เล็งเห็นถึงความสำคัญของการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Decarbonization) ซึ่งเป็นไปตามนโยบายของภาครัฐในปัจจุบันที่มุ่งสู่พลังงานสะอาด ดังนั้น GULF จึงมุ่งเน้นลงทุนในธุรกิจพลังงานหมุนเวียน ซึ่งรวมถึงโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำในประเทศลาว โรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์ และโรงไฟฟ้าพลังงานลม ทั้งในประเทศและต่างประเทศ

นอกเหนือจากที่กล่าวมา GULF ยังได้ขยายธุรกิจไปสู่ธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล โดยจะเน้นลงทุนในธุรกิจที่นำเทคโนโลยีทางดิจิทัลมาใช้ในการดำเนินธุรกิจ (Digital Transformation) เช่นธุรกิจ Data Center รวมถึง Cloud Computing หรือธุรกิจเทคโนโลยีบล็อกเชน (Blockchain Technology) ซึ่งเทคโนโลยีดังกล่าว ได้เข้ามามีอิทธิพลต่อชีวิตประจำวันของมนุษย์ และมีความสำคัญต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจมากขึ้น โดยจะขับเคลื่อนสังคมและเศรษฐกิจของประเทศให้โตอย่างก้าวกระโดด อีกทั้งยังสร้างโอกาสในการพัฒนาธุรกิจใหม่ ๆ ให้กับ GULF ด้วย

นอกจากนี้ คณะกรรมการบริษัท มีมติเห็นชอบให้นำเสนอต่อที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2565 เพื่อพิจารณาอนุมัติการจ่ายเงินปันผล สำหรับผลการดำเนินงานของบริษัท ประจำปี สิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2564 ในอัตราหุ้นละ 0.44 บาท หรือคิดเป็นอัตราการจ่ายเงินปันผลต่อกำไรสุทธิ เท่ากับ 88% โดยกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิรับเงินปันผล (Record Date) ในวันที่ 7 มีนาคม 2565 และกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 28 เมษายน 2565 ซึ่งตลาดหลักทรัพย์ฯ จะขึ้นเครื่องหมาย XD ในวันที่ 4 มีนาคม 2565 และกำหนดประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2565 ในวันที่ 8 เมษายน 2565

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ข่าวล่าสุด

อุปนายก "สมาคมคนพิการฯ" เสียงแข็งโควต้าสลากฯส่งแค่สมาชิก แจงละเอียด ทำไม "หวย" บางล็อต หลุดโผล่ยี่ปั๊ว นายทุนออนไลน์
ว่อนโซเชียล ! พระสงฆ์ใช้บาตรฟาดหัวโยม ล่าสุดเจ้าอาวาสสั่งให้ออกจากวัดแต่พระรูปดังกล่าวไม่ยอมชี้หน้าด่ากราดเจ้าอาวาสวัด
พัทยา ร้อนจัด ส่งผลกระทบ 2 อ่างหลักเก็บน้ำดิบ แห้งขอด หากฝนยังไม่ตก หวั่นกระทบต่อประชาชนและภาคท่องเที่ยว
อย่าเพิ่งรีบเติม พรุ่งนี้ “น้ำมันลดราคา” เบนซิน-แก๊สโซฮอล์ ปรับลง 0.50 บาทต่อลิตร
เปิดรายชื่อ 15 องค์กรหลัก รับโควต้าสลากฯ แค่ขายให้หมด กินส่วนต่าง 1.60 บาท/ใบ รายได้รวมเกือบ 30 ล้านต่อเดือน
จีน แก๊ง ‘โลมาหัวบาตรหลังเรียบแยงซี’ ว่ายน้ำเล่น
"สรรเพชญ" สวน "อุ๊งอิ๊ง" วิจารณ์แบงก์ชาติ ชี้ดื้อรั้นแจกเงินดิจิทัล กระทบการคลังปท.
กัมพูชาเตือนประชาชนเลี่ยง ‘แดด’ หลังอุณหภูมิพุ่ง 43°C
เกาหลีใต้ เตือนภัยสถานทูตใน 5 ประเทศ
หลายชาติส่ง 'ทุเรียน' ตีตลาดจีน ทุเรียนไทยเสี่ยงไม่ได้ 'ยืนหนึ่ง' ต่อ

ดู LIVE รายการ

X

เราใช้ คุ้กกี้ เพื่อให้ทุกคนได้ประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น