บ่ายวันนี้จะมีคดีสำคัญที่อาจถูกบันทึกในประวัติศาสตร์ให้เป็นคดีตัวอย่างคดีต้นทางในการเอาผิดลงโทษกลุ่มบุคคลหรือบุคคลที่เคลื่อนไหวล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ หลังณฐพร โตประยูร อดีตที่ปรึกษาผู้ตรวจการแผ่นดิน ยืนเรื่องร้องทุกข์กล่าวโทษ แกนนำม็อบราษฎรจำนวน 8 ราย ประกอบด้วย อานนท์ นําภา , ภาณุพงศ์ จาดนอก, ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล, พริษฐ์ ชิวารักษ์ ,จุฑาทิพย์ ศิริขันธ์, สิริพัชระ จึงธีรพานิช, สมยศ พฤกษาเกษมสุข และ อาทิตยา พรพรม เคลื่อนไหวเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข โดยมีการกระทำการต่างกรรมต่างวาระหลายกรณี เข้าข่ายใช้สิทธิเสรีภาพเกินขอบเขต มีเจตนามุ่งหมายล้มล้างทำลายการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ที่ถือเป็นการกระทำที่ขัดรัฐธรรมนูญ หมวด 2 ม. 49 วรรคหนึ่งที่ระบุว่า ” บุคคลจะใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขมิได้”
แม้จะร้องเอาผิด 8 แกนนำ แต่ศาลรัฐธรรมนูญรับคําร้องแกนนำแค่ 3 คน ที่ปราศรับใหญ่บนเวที “ธรรมศาสตร์จะไม่ทน” เมื่อ 10 ส.ค. 2563 เท่านั้น คือ ทนายอานนท์, ไมค์ ภาณุพงศ์ และรุ้ง ปนัสยา โดยนัดอ่านคำวินิจฉัยในวันนี้เวลา 15.00 น. หลังใช้เวลาในการไต่สวนถึงหนึ่งปีเต็ม เพราะได้ยื่นคำร้องไปตั้งแต่ปลาย 3 ก.ย. 2563 ก่อนศาลรัฐธรรมนูญจะมานัดอ่านคำวินิจฉัยในวันนี้ บางช่วงบางตอนคำพูดของ 3 แกนนำชัดเจนว่าฉวัดเฉวียน มีเป้าหมายโจมตีแซะสถาบันแทบไม่าต้องตีความ “หากเรากําลังจะสร้างถนนลาดยาง 1 เส้นเพื่อความเจริญงอกงามให้กับประเทศ แต่ดันบังเอิญมีต้นไม้ใหญ่ขวางอยู่ รู้ไหมต้นไม้ใหญ่ คือ ใคร หลายคนอาจคิดว่ามันไม่ยากเลยกับการสร้างถนนลาดยาง คือการสร้างให้มันเป็นวงเวียนใช่ไหมครับ แต่สําหรับผม ผมคิดว่าเราควรย้ายต้นไม้ให้ไปอยู่ในที่ที่สมควรอยู่ และสร้างถนนลาดยางที่แข็งแรงและสมบูรณ์ ” ไมค์ ภาณุพงศ์ระบุ
ส่วนทนายอานนท์ก็กล่าวพาดพิงเจ้านายทำนองว่า ” การชุมนุมที่กำลังเกิดขึ้น ไม่ใช่การชุมนุมเพื่อล้มล้างสถาบัน หากแต่เป็นการชุมนุมที่นำปัญหาและความจริงในบ้านเมืองมาพูด ระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข หมายถึงกษัตริย์ต้องอยู่เหนือการเมืองและอยู่ใต้รัฐธรรมนูญ พระราชกรณียกิจอันใดที่ทําให้สถาบันพระมหากษัตริย์มายุ่งเกี่ยวกับการเมืองจากนี้ไปจะต้องถูกตั้งคำถามโดยสาธารณะ สิ่งที่คนที่มาชุมนุมในที่นี้ต้องการเห็นคือสถาบันพระมหากษัตริย์ที่ปรับตัวเข้าหาประชาชน แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นในขณะนี้คือการที่คณะรัฐประหาร 2557 นำโดยพล.อ.ประยุทธ์ ขยายพระราชอำนาจของสถาบันพระมหากษัตริย์ออกไป” ฝากฝ่ายรุ้ง ปนัสยา ก็ไปไกลถึงขนาดที่ว่า ” ธรรมชาติไม่ได้สร้างให้ใครสูงส่งกว่าใคร มีแต่เราเองที่สร้างเรื่องสมมติเหล่านี้ขึ้นมาหรือบางทีคนสร้างไม่ใช่เรา แต่เป็นใครคะ เป็นพวกเขาเองที่สร้างมันขึ้นมา เพื่อกดขี่ข่มเหงและเสวยสุขบนความทุกข์ยากของประชาชน เราทุกคน มนุษย์ทุกคนมีเลือดสีแดงไม่ต่างกันไม่มีใครในโลกนี้เกิดมาพร้อมเลือดสีน้ำเงิน” ทั้งหมดนี้แค่เศษเสี้ยวหนึ่งเท่านั้น ที่กลุ่มสามกีบล้มเจ้าเหล่านี้ลามปาม กำเริบเสิบสานต่อสถาบันอันเป็นที่รักยิ่งของคนไทย ความจริงคำพูดให้ร้ายย่ำยีหัวใจคนไทยของคนใจบาปหยาบช้าเหล่านี้ มีมากมายต่ำช้ามากมายกว่านี้หลายเท่าทวีคูณ เพียงแต่คนไทยอย่างเราๆไม่อยากเอาความชั่วช้าสามานย์เหล่านั้นมาผลิตซ้ำให้เสียดแทงหัวใจคนไทย
อย่างไรก็ตามผลแห่งการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญวันนี้ หลายฝ่ายหลายคณะเชื่อมั่นหวังลึกๆ ว่าจะกลายเป็นคดีประวัติศาสตร์เป็นบรรทัดฐานแห่งสังคม เป็นกระดุมเม็ดแรกเป็นคดีตัวอย่างในการปกป้องสถานบันพระมหากษัตริย์ไม่ให้ใครมาจาบจ้วงเหยียบย่ำทำลาย อย่างน้อยก็ให้มีที่ว่างมีที่ยืนสง่างามสำหรับสถาบันพระมหากษัตริย์อันเป็นที่รักและเคารพยิ่งของคนไทย ไม่รักไม่ศรัทธาไม่กราบไหว้ก็อย่าทำลายให้ต่ำตมจมดิน ไปด้อยค่าด่าทอรุกล้ำทำลายคนไทยไม่มีใครยอมได้อย่างแน่นอน ณฐพรผู้ฟ้องมั่นใจหนักแน่นมากว่า หลักฐานใบเสร็จเรื่องการรับเงิน การโอนเงินจากต่างประเทศ 5-6 องค์กร เป็นน้ำเลี้ยงให้พวกเด็กเวรเคลื่อนไหวทำระยำต่ำช้ากับสถาบัน ที่ได้รับมาจากตำรวจสันติบาล สำนักงานตำรวจแห่งชาติ รวมถึงข้อมูลที่ศาลรัฐธรรมนูญขอเอกสารโดยตรงไปถึงตำรวจจะเป็นไม้เด็ด เป็นอาวุธลับชี้เป็นชี้ตายในคดีนี้ ” ผมถึงมั่นใจมากในคราวนี้เพราะผมมีหลักฐานสำคัญว่า มีการรับเงิน โอนเงินจากต่างประเทศเข้ามา ตรงนี้จึงเป็นหลักฐานสนับสนุนคำร้องผม โดยมีการรับเงินจากเช่นเอ็นจีโอของต่างประเทศ หลักฐานครบหมด โอนไปให้กลุ่มไหน ไปประชุมกันที่ไหน ใครเป็นตัวการ อย่างตอนที่ผมยื่นยุบพรรคอนาคตใหม่ว่าล้มล้างการปกครอง ตอนนั้นผมยอมรับว่าที่ส่งไปยังศาลรัฐธรรมนูญหลักฐานที่ส่งไปมีแค่ของสื่อมวลชนไปประกอบคำร้องเท่านั้น ตอนนั้นไม่มีหลักฐานละเอียดขนาดนี้ แต่คดีนี้มีหลักฐานจากสันติบาลและจากหน่วยงานที่เขาสืบสวนเรื่องนี้ ถึงใช้เวลาในการไต่สวนนานถึงหนึ่งปีเต็ม” ณฐพรระบุ
หากศาลตัดสินว่า 3 แกนนำสามกีบคือ ทนายอานน์ ไมค์ และรุ้ง เข้าข่ายล้มล้างการปกครองจริง เรื่องนี้ก็จะเป็น “สารตั้งต้น” เป็นต้นทางให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปหาช่องดำเนินคดีเอาผิดกับคนเหล่านี้รวมถึงคนอื่นๆ ที่เชื่อแน่ว่ามีคดีความตามมายาวยิ่งกว่าหางว่าว อาญา กบฎ ล้มล้าง ผลแห่งการพิพากษาคดีก็อาจหมายรวมไปถึงการนำไปเอาผิดกับพวกนักการเมือง พรรคก้าวไกล คณะก้าวหน้า ที่สนับสนุน ยุยง ปลุกปั่น ทั้งทางตรงและทางลับ เห็นแววยุบพรรคตามมาแล้ว งานนี้อาจลากยาวมีหางเลขไปถึงบรรดาอาจารย์ อาจม พวกครูสามกีบ ด็อกเตอร์ล้มเจ้า ที่ล้างสมองปั่นความเท็จสร้างนิทานใส่ร้ายเจ้านายป้ายสีสถาบันอาจโดนโทษวินัยเรื่อยไปถึงคดีอาญาด้วย ถือโอกาสล้างบางล้างคอกล้างเสนียดจัญไรของแผ่นดินทีเดียวไปเลย อย่าแปลกใจถ้าทักษิณ ชินวัตร , ปิยะบุตร แสงกนกกุล ตัวพ่อล้มเจ้าเบอร์ต้นรื้อล้างสถาบันจะออกมาดิ้นเป็นปลาหมอถูกทุบหัวค้านการตัดสินลงโทษเอาผิดแกนนำฝ่ายตามวันนี้ ลุ้นคำพิพากษาคดีของศาลรัฐธรรมนูญบ่ายนี้ด้วยใจระทึก
//////////////////
