ส่ง จม.ฟ้อง ชวน สภาตั้งผู้มีส่วนเกี่ยวข้องธุรกิจยาสูบยกร่างคุมบุหรี่ไฟฟ้า

กรุงเทพฯ 7 พ.ย.- สมาพันธ์เครือข่ายแห่งชาติเพื่อสังคมไทยปลอดบุหรี่ ส่งจดหมายเปิดผนึกถึง ประธานสภาฯ และผู้เกี่ยวข้อง กรณี กมธ. ส.ส. ตั้งผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับธุรกิจยาสูบเข้าร่วมคณะอนุกรรมาธิการฯ ร่างนโยบายควบคุมบุหรี่ไฟฟ้า ขัดหลักผลประโยชน์ทับซ้อน ตามมาตรา 5.3 อนุสัญญาควบคุมยาสูบ องค์การอนามัยโลก

พญ.สมศรี เผ่าสวัสดิ์ ประธานสมาพันธ์เครือข่ายแห่งชาติเพื่อสังคมไทยปลอดบุหรี่ ได้ออกจดหมายเปิดผนึกสื่อสารสาธารณะ กรณีมีการตั้งบุคคลที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจยาสูบ เข้าร่วมเป็นที่ปรึกษาของคณะอนุกรรมาธิการคณะหนึ่งในสภาผู้แทนราษฎร เพื่อพิจารณานโยบายควบคุมบุหรี่ไฟฟ้า ซึ่งถือว่าการกระทำดังกล่าวขัดต่ออนุสัญญาควบคุมยาสูบ องค์การอนามัยโลก ที่ประเทศไทยได้ลงสัตยาบันไว้ สมาพันธ์เครือข่ายแห่งชาติเพื่อสังคมไทยปลอดบุหรี่ ซึ่งประกอบด้วย แพทยสมาคมแห่งประเทศไทย ราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งประเทศไทย และเครือข่ายวิชาชีพสุขภาพเพื่อสังคมไทยปลอดบุหรี่ ได้ทำจดหมายเปิดผนึกถึงประธานสภาผู้แทนราษฎร และสำเนาถึงประธานกรรมาธิการต่าง ๆ ของสภาผู้แทนราษฎร รวมทั้งวุฒิสภา เพื่อให้ทราบถึงปัญหาที่เกิดขึ้นและป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีก

พญ.สมศรี กล่าวว่า เหตุการณ์นี้ถือเป็นการขัดต่อพันธกรณี ในฐานะที่ประเทศไทยเป็นภาคีอนุสัญญาควบคุมยาสูบ องค์การอนามัยโลก ที่มีข้อกำหนดในมาตรา 5.3 ให้ภาคีป้องกันการแทรกแซงนโยบายควบคุมยาสูบโดยธุรกิจยาสูบหรือผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง มีข้อกำหนดข้อหนึ่งว่า “ภาคีต้องไม่ให้ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับธุรกิจยาสูบ เข้าร่วมเป็นกรรมการหรือที่ปรึกษา ในคณะกรรมการที่พิจารณากำหนดนโยบายควบคุมยาสูบ เนื่องจากผลประโยชน์ของธุรกิจยาสูบ ขัดแย้งกับเป้าหมายด้านสาธารณสุขอย่างไม่สามารถที่จะออมชอมกันได้” ดังนั้น ประเทศไทย จึงควรดำเนินการตามมาตรา 5.3 อย่างเคร่งครัด โดยถือเป็นเรื่องสำคัญที่ทุกฝ่ายที่ทำหน้าที่กำหนดนโยบายควบคุมยาสูบ ทั้งฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหาร รวมทั้งข้าราชการประจำ ที่ต้องตระหนักรู้และยึดถือเป็นแนวปฏิบัติ เพื่อป้องกันการแทรกแซงนโยบายสาธารณะด้านการควบคุมยาสูบ จากธุรกิจยาสูบและผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง

“การที่คณะอนุกรรมการฯ สภาผู้แทนราษฎร ประกอบไปด้วยบุคคลที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจยาสูบ จะทำให้รายงานที่คณะอนุกรรมาธิการฯ ชุดนี้ ที่จะเสนอแนะต่อสภาผู้แทนราษฎร ต่อรัฐบาล ต่อประชาชนทั่วไป จะเป็นรายงานที่ขาดความน่าเชื่อถือ เนื่องจากเป็นรายงานที่มีบุคคลที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจยาสูบเป็นที่ปรึกษา หากมีการกำหนดนโยบายควบคุมยาสูบตามรายงานที่มีปัญหาดังกล่าว จะส่งผลเสียต่อการสาธารณสุขของประเทศ ซึ่งกรณีนี้เปรียบเทียบได้เหมือนการตีพิมพ์วารสารทางวิชาการ ที่มาตรฐานสากลผู้ร่วมงานวิจัยจะต้องไม่รับทุนสนับสนุนหรือสิ่งตอบแทนจากธุรกิจยาสูบหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจยาสูบ เพราะจะทำให้ขาดความน่าเชื่อถือ ถือว่าเป็นผู้มีผลประโยชน์ทับซ้อน จะต้องถูกปฏิเสธการตีพิมพ์เผยแพร่ผลงาน” พญ.สมศรี กล่าว

ข่าวที่น่าสนใจ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ข่าวล่าสุด

"ฮุน เซน" โต้ทำผิดรธน.โวเป็นพล.อ.พิเศษ 5 ดาว "กษัตริย์นโรดมฯ" มอบอำนาจ ร่วม "ฮุน มาเนต" บริหารกองทัพดูแลอธิปไตย
จันทบุรี จัดทีมปล่อยแถวออกตรวจสอบเฝ้าระวังโดรนต้องสงสัยเต็มรูปแบบ
"ศุภชัย"ลั่นไม่มีใครบุกรุกเขากระโดง ย้อนคดีโบราณสถานเขาน้อย ผิดโดนโทษจำคุก โยงเป็นญาติ "เดชอิชม์"
มุกดาหาร ร้อย ฉก ทพ 2105 บูรณาการหน่วยความมั่นคงตรวจยึดบุหรี่และอาหาร 17 ลัง
เช็กเลย ราคาน้ำมันประกาศปรับขึ้น "ราคาเบนซิน - แก๊สโซฮอล์" 40 สตางค์/ลิตร มีผล 5 ส.ค.68
"คีรี" นำทีมผู้บริหาร "บีทีเอส กรุ๊ป" จัดประชุมสามัญผู้ถือหุ้น แจ้งผลดำเนินงานปี 67/68 พลิกสร้างกำไรกว่า 2 พันล้าน มาตรฐานธุรกิจติดอันดับผู้นำ 1% แรก กลุ่ม TRA

ดู LIVE รายการ

เราใช้ คุ้กกี้ เพื่อให้ทุกคนได้ประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น​