สืบเนื่องจากการที่ กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ พิจารณารับคดีบริษัทสแกนม่านตาแลกเหรียญดิจิทัล เป็นคดีพิเศษ ในฐานความผิด พ.ร.บ.คอมพ์ มาตรา 14 ภายหลัง นายไชยชนก ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม สั่งยกเลิก MOU ระหว่าง ดีอี และ บริษัทสิงคโปร์ Prime Opportunity Fund เหตุเนื่องจากพบข้อพิรุธจำนวนมาก รวมถึงพบภาพการลงนาม MOU เกี่ยวข้องกับ “เบน สมิธ” ที่มีกระแสข่าวเกี่ยวโยงกับธุรกิจสีเทา
และต่อมา นายประเสริฐ จันทรรวงทอง เลขาธิการพรรคเพื่อไทย ในฐานะอดีต รมว.ดีอี กล่าวถึงกระแสข่าว กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ เตรียมเรียกสอบสวน กรณีในขณะดำรงตำแหน่งรมว.กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม หรือ ดีอี มีส่วนร่วมเห็นชอบการลงนาม MOU ระหว่าง อดีตปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กับ บริษัทไพรม์ ออพ พอร์ทูนิตี้ ฟันด์ วิซีซี จากประเทศสิงคโปร์ ให้ข้อมูลว่า กรณีที่เกิดขึ้น หน่วยงานราชการตรวจสอบ ทั้งคณะกรรมการกฤษฎีกา, สำนักงานอัยการสูงสุด และกระทรวงการต่างประเทศ พิจารณาแล้ว จึงได้แจ้งไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง คือ สำนักงานปลัดกระทรวงฯ พร้อมยืนยันว่า กระบวนการขั้นตอนต่างๆ เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย จึงขอยืนยันความบริสุทธิ์ใจ และมั่นใจไม่มีการหมกเม็ดอะไร
ล่าสุดวันนี้ ( 23 ธ.ค.) นายประเสริฐ และนายวัลลภ รุจิรากร อดีตเลขานุการ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ได้เดินทางเข้าให้ปากคำ ในฐานะพยานกับคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษที่ 148/2568 ที่ห้องสำนักงานรองอธิบดี กรมสอบสวนคดีพิเศษ ชั้น 8 ศูนย์ราชการฯ อาคารบี ถนนแจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ
โดยหลังจากให้ปากคำกับคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ นายประเสริฐ เปิดเผยว่า ขออนุญาตว่าข้อมูลที่ให้ดีเอสไอถือเป็นความลับ ขอไม่เปิดเผย ส่วนจะเป็นการกลั่นแกล้งทางการเมืองหรือไม่นั้น ก็มองได้
เมื่อถามว่า MOU ฉบับดังกล่าวเกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2567 แต่เพิ่งมาเกิดประเด็นในตอนนี้ นายประเสริฐ กล่าวว่า มองได้ว่าเป็นประเด็นทางการเมือง ส่วนจะเป็นเหมือนการดิสเครดิตก่อนการเลือกตั้งใหญ่หรือไม่นั้น นายประเสริฐ ตอบว่า ครับ
เมื่อถามว่า MOU ดังกล่าว เพื่อมุ่งหวังพัฒนาการเงินและเศรษฐกิจของไทยหรือไม่ นายประเสริฐ กล่าวว่า เป็นไปตามกระบวนการตามกฎหมายและมั่นใจว่าไม่มีประเด็นปัญหาใด ส่วนเรื่องการสแกนม่านตา จะมีผลระยะยาวใดหรือไม่นั้น ตนไม่ทราบเลย


