รอยเตอร์สและ BBC รายงานว่ารัฐบาลสหรัฐภายใต้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ได้ออกบันทึกอย่างเป็นอย่างทางการเมื่อวานนี้ (อังคารที่ 2 ธค.) ตามเวลาท้องถิ่น ระบุว่าสหรัฐได้สั่งระงับคำร้องการยื่นขอวีซ่าเข้าเมืองทั้งหมด รวมทั้งกระบวนการยื่นขอกรีนการ์ดหรือสถานะผู้อยุ่อาศัยถาวร และการขอสถานะพลเมืองสหรัฐจาก 19 ประเทศที่อยู่นอกกลุ่มประเทศยุโรปเรียบร้อยแล้ว
โดยประเทศเหล่านี้รวมถึงอัฟกานิสถาน, ลาว, เมียนมา, ชาด, สาธารณรัฐคองโก, อิเควทอเรียลกินี, เอริเทรีย, เฮติ, อิหร่าน, ลิเบีย, โซมาเลีย, ซูดาน, เยเมน, บุรุนดี, คิวบา, เซียร์ราลีโอน, โตโก, เติร์กเมนิสถาน และเวเนซุเอลา
ทั้งนี้ทรัมป์อ้างเหตุผลด้านความมั่นคงแห่งชาติและความปลอดภัยของชาวอเมริกัน รวมทั้งอ้างเหตุผู้ต้องสงสัยชาวอัฟกันยิงทหารพิทักษ์มาตุภูมิสองนายที่กรุงวอชิงตัน เมื่อปลายเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา
ทั้งนี้ ระหว่างการประชุมคณะรัฐมนตรีและแถลงข่าว ทรัมป์ได้ยกระดับการใช้คำพูดที่รุนแรงต่อต้านผู้ลี้ภัยชาวโซมาเลียว่า “คนเหล่านี้ควรกลับไปประเทศของพวกเขา ประเทศที่ไม่มีอะไรดี” และว่า “ ผมไม่ต้องการคนพวกนี้ในประเทศของเรา” และ “สหรัฐจะกลายเป็นประเทศผิดเพี้ยนหากต้องรับขยะเหล่านี้เข้ามาอย่างต่อเนื่อง”
ตั้งแต่เข้ารับตำแหน่งเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา ทรัมป์ได้ให้ความสำคัญกับการบังคับใช้กฎหมายตรวจคนเข้าเมืองอย่างจริงจัง โดยส่งเจ้าหน้าที่รัฐบาลกลางไปยังเมืองใหญ่ๆ ของสหรัฐเพื่อกวาดล้างผู้ลี้ภัยที่ผิดกฎหมาย และปฏิเสธผู้ขอลี้ภัยที่ชายแดนสหรัฐฯ-เม็กซิโก ภายใต้นโยบายหาเสียงของเขา แต่ล่าสุดดูเหมือนว่าทรัมป์ไม่ได้เน้นเรื่องการปฏิรูปกฎหมายตรวจคนเข้าเมืองอย่างถูกกฎหมาย แต่กลับไปเน้นต่อต้านกลุ่มผู้ลี้ภัยที่เข้าเมืองอย่างถูกต้อง โดยอ้างเรื่องความมั่นคงของชาติและโยนความผิดให้กับนโยบายของอดีตประธานาธิบดีโจ ไบเดน

