CNN และ BBC รายงานว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐได้บอกกับผู้สื่อข่าวที่ทำเนียบขาวเมื่อวานนี้ (เสาร์ที่ 22 พย.) หลังถูกถามว่าแผนสันติภาพยูเครนเป็นข้อเสนอสุดท้ายหรือไม่ ซึ่งทรัมป์ก็ตอบว่า “ไม่ใช่ข้อเสนอสุดท้าย” อย่างไรก็ตามสหรัฐจะต้องทำให้สงครามยุติลงไม่ว่าทางใดก็ทางหนึ่ง
ทรัมป์มีท่าทีอ่อนลงหลังจากผู้นำจากหลายชาติยุโรปรวมทั้งแคนาดา และญี่ปุ่นซึ่งเป็นกลุ่มพันธมิตรยูเครนได้ออกแถลงการณ์ร่วมในที่ประชุมผู้นำจี 20 ที่แอฟริกาใต้เมื่อวานนี้ ชี้ว่าแม้ข้อเสนอ ของทรัมป์มีข้อความ “สำคัญที่ระบุถึงสันติภาพที่เป็นธรรมและยั่งยืน” แต่จะต้องมีการปรับเปลี่ยนบางข้อ โดยเฉพาะข้อที่ระบุถึงการเปลี่ยนแปลงพรมแดนและการจำกัดจำนวนกำลังพลของกองทัพยูเครน
แถลงการณ์ชาติพ้นธมิตรยูเครนระบุว่าการปรับเปลี่ยนพรมพรมแดนยูเครนจะต้องไม่กระทำด้วยการบังคับใช้กำลัง และข้อเสนอที่ให้จำกัดกำล้งพลยูเครนอาจส่งผลให้ยูเครนตกอยู่ในความเสี่ยงในกรณีถูกโจมตีในอนาคต นอกจากนี้ข้อเสนอใดๆที่มีความเกี่ยวข้องกับอียูและนาโต จะต้องผ่านการอนุมัติรับรองจากอียูและนาโตก่อน
และว่ากลุ่มพันธมิตรยูเครนจะส่งผู้แทนไปร่วมประชุมหารือเกี่ยวกับร่างสันติภาพ 28 ข้อของทรัมป์ที่นครเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ในวันนี้ (อาทิตย์ที่ 23 พย.) ก่อนออกแถลงการณ์อีกครั้ง ขณะที่สหรัฐจะมาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีต่างประเทศและสตีฟ วิตคอฟ ผู้แทนพิเศษเข้าร่วมหารือด้วย ด้านอังกฤษจะส่งโจนาธาน พาวเวลล์ ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงเข้าร่วมประชุม
โดยก่อนหน้านี้ทรัมป์บอกว่าประธานาธิบดีโวโลดิเมียร์ เซเลนสกี้ไม่มีทางเลือก นอกจากจะต้องยอมรับแผนสันติภาพพร้อมกำหนดเส้นตายให้ยูเครนยอมรับแผนสันติภาพภายในวันที่ 27 พฤศจิกายน ทำให้เซเลนสกี้ออกมาโอดโอยว่ายูเครนกำลังเผชิญกับ “ช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุดในประวัติศาสตร์” จากแรงกดดันของสหรัฐที่ให้ยอมรับแผนสันติภาพที่เอื้อประโยชน์ต่อรัสเซีย ขณะที่ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูตินก็ออกมาขานรับโดยกล่าวว่าข้อเสนอของทรัมป์อาจนำไปสู่การบรรลุข้อตกลงหยุดยิง
ทั้งนี้แผนสันติภาพ 28 ข้อระบุให้ยูเครนถอนกำลังออกจากพื้นที่บางส่วนของแคว้นโดเน็ตสก์และลูฮานสก์รวมทั้งไครเมีย โดยทั้งสามแคว้นจะได้รับการยอมรับว่าเป็นดินแดนของรัสเซียโดยพฤตินัย ส่วนแคว้นเคอร์ซอนและซาปอริซเซียจะถูกกำหนดให้เป็นพื้นที่รอยต่อหรือแนวพรมแดน ขณะที่กองพลยูเครนจะถูกจำกัดให้อยู่ที่ 6 แสนนาย และเครื่องบินรบของพันธมิตรยุโรปให้ไปประจำอยู่ที่โปแลนด์ และรัสเซียจะได้รับการเชิญกลับเข้ากลุ่มจี-7 และกลับสู่ระบบเศรษฐกิจโลกอีกครั้ง โดยมาตรการคว่ำบาตรทั้งหมดจะถูกยกเลิก

