2. ดังนั้นฝ่ายค้านตั้งใจ “บีบ” ให้อนุทินต้องรับการซักฟอกทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าจะล้ม เพราะฉากที่ฝ่ายค้านรุกกลางสภาจะสร้างความเสียหายทางภาพลักษณ์ต่อรัฐบาลสูงมาก
อนุทินจึงกลับเกมด้วยการประกาศว่า:
“ถ้ายื่น ม.151 เมื่อไหร่ ผมยุบสภาเมื่อนั้น”
มันคือการทำลายเวทีที่ฝ่ายค้านต้องการสร้าง
เหมือนนักมวยที่รู้ว่าขึ้นชกแล้วแพ้ เลยถอดนวมทิ้งบนเวทีทันที
จังหวะวันที่ 12 ธ.ค. เป็นสัญลักษณ์ว่า:
ฝ่ายค้านจะใช้สภาเป็นเวทีล้มรัฐบาล?
→ ผมยุบก่อน คุณยิงใส่ผมไม่ได้
รัฐบาลเสียงน้อยจะรอให้ถูกประณามในสภา?
→ ไม่มีวัน
3. นี่คือการยึดพื้นที่นำเกมกลับมาไว้มือรัฐบาลทันที
ฝ่ายค้านอยากวาดภาพว่า:
→ “รัฐบาลกลัวการตรวจสอบ จึงหนียุบสภา”
รัฐบาลอยากวาดภาพว่า:
→ “ฝ่ายค้านทำให้ประเทศเสียโอกาส ผมยุบเพื่อให้ประชาชนตัดสินเอง”
นี่คือ สงครามตีความกฎหมายเพื่อคุมความชอบธรรม ไม่ใช่แค่เรื่องตัวบท
4. ทำไมอนุทินพูดชัดว่า “ต่อให้ตอบดีแค่ไหนก็แพ้”?
นี่คือการกำหนดกรอบการรับรู้ของประชาชนให้เข้าใจว่า:
“การแพ้ในสภา = ไม่ใช่เพราะบริหารล้มเหลว แต่เป็นเพราะเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อยตามโครงสร้าง”
เพื่ออะไร?
เพื่อป้องกันการตีความว่า แพ้เพราะถูกเปิดโปง
และเปลี่ยนเรื่องเล่าเป็นว่า แพ้เพราะคณิตศาสตร์ทางการเมือง
5. ผลลัพธ์คือ:
• ปิดทางการโจมตีเชิง moral blame
• ลดความเสียหายภาพลักษณ์
• เบี่ยงจากสนาม “เนื้อหาอภิปราย” ไปสู่สนาม “โครงสร้างเสียง”
นี่คือการจัดกรอบให้ผู้ชมเห็นการเมืองผ่านเลนส์ที่รัฐบาลต้องการ
6. ทำไมอนุทิน “พูดยืดยาวเรื่องภูมิรัฐศาสตร์–เรดาร์โลก–SDGs”?
แล้วมันสัมพันธ์กับเกมยุบสภายังไง?
นี่ไม่ใช่การพูดลอยๆ แต่เป็นการวาด “ภาพใหญ่ของผลงานและภารกิจ” ก่อนเข้าฤดูเลือกตั้ง
สัญญาณสำคัญ:
• ใช้ความสัมพันธ์ต่างประเทศเป็น “ใบสมัครนายกฯ สมัยหน้า” เขาพยายาม frame ว่าเขาเป็นผู้นำที่พาประเทศ “กลับเข้าจอเรดาร์โลก”
• เปิดเรื่องเล่า ว่าไทยกำลังอยู่ในจังหวะเปลี่ยนผ่านโลก
→ ต้องการผู้นำที่ทำงานบนเวทีโลกได้
→ ซึ่งเขาเสนอว่า “เขา” คือคนคนนั้น
• ปูฐานความชอบธรรมสำหรับการยุบสภาเร็ว
เพราะสามารถอธิบายว่า “ผมทำงานนอกประเทศจนได้โอกาสใหม่ๆ ให้ประเทศ ถ้าให้มาตามเกมการเมืองในสภา ประเทศเสียประโยชน์”
นี่คือการเอานโยบายต่างประเทศมาสร้างความชอบธรรมทางการเมืองล่วงหน้า
7. เกมลึก: ทำไมอนุทินอยากยุบไวกว่าเดิม?
สามเหตุผลใหญ่
• การยุบก่อน ม.151 จะ “ตัดกรรม” พรรคฝ่ายค้าน
เพราะฝ่ายค้านหวังสร้างความเสียหายจากการซักฟอก
แต่ถ้ายุบก่อน → ฝ่ายค้านเสียเวที รบไม่มีสนาม
• จังหวะ 12 ธ.ค. ทำให้พรรคตัวเองได้ “วิ่งก่อน”
การเลือกตั้งคือเกมจังหวะ ใครเปิดก่อน คนนั้นคุม agenda ช่วงต้น
• รัฐบาลเสียงส่วนน้อยอยู่ยาวคือความเสี่ยง
อยู่ทุกวันมีค่าใช้จ่ายทางการเมืองมากขึ้นเรื่อยๆ
การปิดเกมไว้เร็วที่สุดคือวิธีลดต้นทุน
8. เรื่องนี้บอกเราว่า:
• การเมืองไทยเปลี่ยนจาก “ศึกนโยบาย” เป็น “ศึกจังหวะ”
• สภาถูกใช้เป็นสถานที่สร้าง “เรื่องเล่า”มากกว่าเป็นที่แก้ปัญหา
• นายกฯ เข้าใจว่าความชอบธรรมในยุคนี้ไม่ได้เกิดจากเสียงในสภา แต่เกิดจาก
– ท่าทีในเวทีโลก
– ความรู้สึกว่า “ผู้นำทำงาน”
– ความเร็วในการตัดสินใจ
นั่นคือเหตุผลที่อนุทินย้ำภาพว่าเขาเป็นนายกฯ ที่ “ไทยกลับเข้าเรดาร์โลก” และ “ทุกประเทศอยากคุย”
เพราะนี่คือทุนทางการเมืองที่ฝ่ายค้านสามารถซักฟอกได้ยากที่สุด
9. สรุป
การท้าฝ่ายค้านของอนุทินไม่ใช่ความดื้อ แต่เป็นยุทธศาสตร์ตัดเกม
ยุบเร็ว = แย่งจังหวะ
โยนเกมกลับไปให้ประชาชน = ตัดเวทีซักฟอก
วาดภาพผู้นำบนเวทีโลก = ใบสมัครเลือกตั้ง
ฝ่ายค้านได้เสียงทางคุณธรรม
ฝ่ายรัฐบาลได้จังหวะทางยุทธศาสตร์
นี่คือการเมืองไทยที่กำลังเปลี่ยนจาก “เกมในสภา” ไปเป็น “เกม ความชอบธรรมในสายตาประชาชนทั้งประเทศ”