“สหภาพฯการทางพิเศษฯ” เดินหน้าค้านขยายสัมปทานทางด่วนศรีรัช – อนุมัติ BEM ทำโครงการ Double deck หวั่นรัฐเสียประโยชน์ กว่า 1.6 แสนล้านบาท

สร.กทพ. ค้านขยายสัมปทานทางด่วนศรีรัชและโครงการ “Double Deck Expressway” เหตุหวั่นสัญญาไม่โปร่งใส เสี่ยงขัด พ.ร.บ.ร่วมทุนฯ และทำให้รัฐเสียผลประโยชน์กว่า 1.6 แสนล้านบาท พร้อมเตือนโครงการสร้างยาก–กระทบชุมชน–ไม่ช่วยลดรถติดตามที่อ้าง

“สหภาพฯการทางพิเศษฯ” เดินหน้าค้านขยายสัมปทานทางด่วนศรีรัช – อนุมัติ BEM ทำโครงการ Double deck หวั่นรัฐเสียประโยชน์ กว่า 1.6 แสนล้านบาท – Top News รายงาน

 

สหภาพฯการทางพิเศษฯ

 

เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2568 นายบัณฑิต พรึงลำภู ประธานสหภาพสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจการทางพิเศษแห่งประเทศไทย หรือ สร.กทพ. พร้อมด้วย สมาชิก สร.กทพ. เปิดเผยกับทีมข่าว TOPNEWS ถึงกรณีการคัดค้านการขยายสัมปทานโครงข่ายทางพิเศษ โดยเฉพาะโครงการ ทางด่วน 2 ชั้น Double Deck Expressway ( ดับเบิล เด็ค เอ็กซ์เพรสเวย์ ) ว่า สร.กทพ ได้ออกแถลงการณ์ ฉบับที่1 / 2568 ขอคัดค้านการขยายสัมปทานโครงการระบบทางด่วนขั้นที่ 2 ( ทางพิเศษศรีรัช ) ระหว่าง การทางพิเศษแห่งประเทศไทย และบริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM ที่เห็นพ้องให้ BEM ลงทุนโครงการปรับปรุงทางด่วนขั้นที่ 2 เพื่อแก้ไขปัญหาการจราจร ด้วยการก่อสร้างทางด่วน 2 ชั้น คร่อมทางด่วนขั้นที่ 2 จากบริเวณถนนงามวงศ์วานไปจนถึงถนนพระราม 9 ตัดกับถนนประดิษฐ์มนูธรรม รวมระยะทางประมาณ 17 กิโลเมตร

นายบัณฑิต ระบุว่า ในเรื่องนี้ สร.กทพ มีความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากโครงการนี้โดยเฉพาะเรื่องสัญญาที่ไม่เปิดเผยให้มีการตรวจสอบอย่างอิสระ การก่อสร้างที่มีการปิดช่องจราจรสร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนการเวนคืนที่ดินใจกลางเมืองที่จะกระทบกับพี่น้องประชาชนและมีแนวโน้มทำไม่ได้ตามระยะเวลาที่กำหนดไว้รวมถึงประชาชนจะได้รับความเดือดร้อนจากการขึ้นค่าผ่านทางตามสัญญาทุกๆ 10 ปี ทำให้ การทางพิเศษแห่งประเทศไทย หรือ กทพ. จะส่งรายได้ให้กับกระทรวงการคลังลดลง และ กทพ ได้มีการจ่ายเงินชดเชยให้บริษัท การลงทุนทำให้ขาดสภาพคล่อง ให้ดำเนินงานและพี่น้องประชาชนขาดความมั่นใจเพราะการก่อสร้างจะมีรูปแบบลักษณะเหมือนการก่อสร้างถนน พระราม 2 ที่ส่งผลกระทบต่อประชาชน

โดยทางสหภาพ ฯ ต้องการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทบทวนข้อมูลเอกสารและพิจารณาถึงผลกระทบให้รอบด้านโดยเฉพาะความคุ้มค่าในการลงทุนและการขยายสัมปทานมีการแก้ไขสัญญาที่อาจขัดต่อ พรบ. การร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชนปี 2562 พรบ.วินัยการเงินการคลัง ปี 2561 ขณะเดียวกันมองว่านโยบายลดค่าทางด่วน ตลอดเส้นทางรัฐบาลสามารถดำเนินการได้โดยไม่จำเป็นที่จะต้องขยายสัมปทานก่อสร้างโครงการ Double deck

 

ข่าวที่น่าสนใจ

ผู้สื่อข่าวถามถึงการขยายสัมปทานที่มีการแก้ไขสัญญาอาจทำให้ขัด พรบ.ร่วมทุนอย่างไร นาย บัณฑิต กล่าวว่า สาเหตุมาจากการขยายสัมปทานที่ผ่านมาให้แก่ BEM 15 ปี 8 เดือน ในสัญญาได้กำหนดไว้ว่าการขยายสัมปทานจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีเหตุผล 4-5 ข้อ เช่น ขัดต่อความสงบเรียบร้อย หรือประชาชนได้รับความเดือดร้อนอย่างมากจึงจะเป็นเหตุให้มีการขยายสัมปทานหรือเปลี่ยนแปลงสัญญาสัมปทานในครั้งนั้นได้

สหภาพฯจึงมองว่าการจะมาขยายสัมปทานโดยการเปลี่ยนสัญญาใหม่ในการสร้างโครงการ Double deck ไม่สามารถทำได้เพราะว่าไม่ตรงวัตถุประสงค์ เพราะโครงการดังกล่าวเป็นโครงการใหม่จะต้องทำการเปิด PPP เพื่อให้เอกชนรายอื่นได้มีโอกาสเข้ามาร่วมประมูลแข่งขันจึงจะเรียกว่าสัญญาร่วมทุนระหว่างรัฐและเอกชนที่โปร่งใส จึงทำให้สหภาพมองว่าหากมีการแก้ไขสัญญาใหม่โดยการขยายสัญญาเดิมจะขัดต่อ พรบ.ร่วมทุน

ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีสัญญาใหม่เหตุใดสหภาพฯจึงมองว่าสัญญาดังกล่าวจะไม่โปร่งใส นายบัณฑิต กล่าวว่า สิ่งเเรกคือที่มาของการทำสัญญาปัจจุบันการทำโครงการ Double Deck พนักงานภายในของ กทพ. กว่า 5000 คน ไม่สามารถรับรู้สัญญาข้อมูลการดำเนินการต่างๆ ดังนั้นจึงมองว่าในเมื่อสัญญาไม่ได้ถูกเปิดเผยให้กับสาธารณะชน หรือผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ได้รับทราบ ถือเป็นความไม่โปร่งใสและถูกตีเป็นเรื่องลับตลอดมา และที่ทราบมาสัญญาโดยปกติการทางพิเศษแห่งประเทศไทยจะเสียเปรียบทุกครั้ง อาทิเช่นสัญญาที่มีการต่อในครั้งที่ผ่านมา มาจากการฟ้องร้องในเรื่องของการไม่ปรับขึ้นค่าผ่านทาง จนเป็นที่มาของการขยายสัมปทานเพิ่มมาอีก 15 ปี ดังนั้นในครั้งนี้จึงเชื่อมั่นว่า ในสัญญาจะต้องไม่โปร่งใส แต่หากมีความโปร่งใสทางด้านสหภาพฟฯ ก็อยากให้นำสัญญาดังกล่าวมาเปิดเผยให้สหภาพและสาธารณะชนได้รับทราบ ซึ่งเป็นสิ่งที่สหภาพฯเรียกร้องอยู่ในขณะนี้

 

ผู้สื่อข่าวถามต่อว่าเหตุใดสหภาพจึงมองว่าการตัดต่อสัญญาในครั้งนี้ กทพ. จะเสียเปรียบให้กับเอกชน นายบัณฑิต กล่าวว่า สิ่งที่รัฐบาลจะเสียเปรียบเอกชนคือในเรื่องของระยะเวลาและเม็ดเงินที่รัฐบาลจะต้องสูญเสียให้กับเอกชน ที่เป็นคู่สัญญา โดยในแต่ละปีถึง 7,500 ล้านบาท โดยรายได้ทั้งหมดเอกชนจะได้รับอยู่ที่ 40% ดังนั้นหาก กทพ. มีการต่อสัญญาออกไปอีกถึง 22 ปี 5 เดือน หรือสิ้นสุดสัญญาสัมปทานในปี 2601 มูลค่าที่ทางด้าน กทพ. ต้องจ่ายให้กับเอกชนจะอยู่ที่ประมาณ 165,000 ล้านบาท โดยเม็ดเงินดังกล่าวรัฐบาลสามารถนำ ไปใช้ประโยชน์ในโครงการต่างๆ เพื่อประชาชนได้เป็นจำนวนมาก หรืออาจจะนำไปสนับสนุนการลดค่าผ่านทางให้กับ ประชาชนในอนาคต และทำให้การบริหารจัดการในเรื่องของทางด่วนสามารถทำได้ง่าย และคล่องตัวมากขึ้น และสิ่งที่รัฐจะต้องเสียประโยชน์ก็คือเรื่องของชุมชนที่อาศัยอยู่บริเวณใต้ทางด่วนที่จะต้องได้รับผลกระทบหลาย 100 ครัวเรือน

 

ผู้สื่อข่าวถามถึงการเจรจากับ นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม นายบัณฑิต กล่าวว่าทางด้านรองนายกรัฐมนตรีฯ ได้แสดงความเป็นห่วงใน เรื่องของสัญญา และความเข้าใจโครงการฯ จึงเสนอให้มีการทำเวิร์คช็อป และนำสัญญามาเปิดเผย เพื่อให้ได้ข้อสรุปร่วมกันทุกฝ่าย ซึ่งขณะนี้ยังไม่มีข้อสรุปว่าจะมีการดำเนินการเมื่อใด

นายบัณฑิต กล่าวว่า โครงการนี้ตามไทม์ไลน์ จะต้องเกิดขึ้นเมื่อปีที่ผ่านมาแต่เนื่องจากสภาพแรงงาน เห็นถึงความไม่โปร่งใสที่ยังมีอยู่มากจึงทำให้สภาพมีการคัดค้านเรื่องนี้มาอย่างต่อเนื่องและจากข่าวที่ได้รับจากบริษัทร่วมทุนระบุว่าภาครัฐจะปิดดีลโครงการนี้ในเดือนธันวาคมที่จะถึงทำให้สหภาพและประชาชนเป็นห่วงเรื่องนี้เนื่องจากข้อสงสัยหลายอย่างยังไม่ได้รับความกระจ่าง

 

ทั้งนี้ ยืนยันว่า โครงการทางด่วน 2 ชั้น ไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาจราจรตามที่กล่าวอ้าง เป็นเพียงการก่อสร้างทางยกระดับอีกขั้นหนึ่งเท่านั้น เพราะสุดท้ายรถทุกคันก็จะไปกองรวมกันที่แถวพระราม 9 และรถก็ยังจะติดอยู่ดี อีกทั้งความปลอดภัยในการก่อสร้างก็จะควบคุมยาก เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ เนื่องจากเป็นการก่อสร้างทางยกระดับคล่อมทางด่วนอีกชั้นหนึ่ง คล้ายกับโครงกรก่อสร้างบนถนนพระราม 2 ที่เป็นประเด็น โดยตามแผนงานจะใช้เวลาก่อสร้างถึง 4 ปี จะทำให้คนที่สัญจรไปมาเดือดร้อนจากกการก่อสร้างอีกด้วย

นายบัณฑิต กล่าวว่า สิ่งที่สหภาพฯ ต้องการคืออยากให้ภาครัฐทบทวนเรื่องนี้โดยเร็วที่สุด เพราะรัฐบาล ไม่สามารถเอาชีวิตของประชาชนมาเสี่ยงได้ จากการก่อสร้างทางด่วนสองชั้น โดยการแก้ปัญหาจราจรยังมีช่องทางอื่นอีกหลายวิธี โดยทางด่วน double dack เป็นแค่หนึ่งแนวทาง แต่ยังมีอีกหลายโครงการที่สามารถแก้ปัญหาการจราจรได้ อาทิ โครงการทางด่วนขั้นที่ 3 สายเหนือ ซึ่งประกอบด้วย 3 ส่วนสำคัญ ได้แก่ ช่วงอุโมค์ทางด่วน N1 จากทางด่วนศรีรัช – แยกลาดปลาเค้า – แยกสุคนธสวัสดิ์, N2 ช่วงแยกสุคนธสวัสดิ์-ฉลองรัช-แยกนวมินทร์-วงแวนรอบนอกกรุงเทพตะวันออก และ N3 ช่วงนวมินทร์-ศรีนครินทร์ ที่สามารถระบายรถได้และสามารถดำเนินการได้ก่อนโครงการ double deck พร้อมยืนยันว่า นโยบายลดค่าทางด่วน รัฐบาลสามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องพึ่งพาโครงการ Double deck โดยที่กทพจะสนับสนุนชดเชย 1500 ล้านบาทให้กับเอกชนโดยไม่ต้องให้โครงการนี้มาพ่วงกว่า 20 ปี

ขณะที่ประชาชนทั่วไป อย่างนายเทพพล เครื่องจันทร์ ประธานชุมชนวัดมะกอกส่วนหน้า และนายนที ศิริธรรมวัฒน์ ตัวแทนเครือข่ายชุมชนเขตพญาไท บอกกับทีมข่าวถึงสาเหตุที่มาร่วมคัดค้านการขยายสัมปทาน ว่า หากมีการขยายสัมปทานชาวบ้านที่อาศัย อยู่บริเวณใต้ทางด่วน และด้านข้างทางด่วน จะได้รับผลกระทบทั้งในเรื่องของ ฝุ่น สภาพอากาศ และสภาพแวดล้อม จนถึงภาพรวมเศรษฐกิจของประชาชน พร้อมตั้งข้อสังเกตุว่า ในการขยายโครงข่ายการก่อสร้างทางด่วน 2 ชั้นนี้ อาจจะมีความไม่โปร่งใส เนื่องจากกระบวนการประเมินผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม หรือ eia ที่จะต้องให้คนในชุมชน หรือ ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องได้มีส่วนร่วมผ่านการประเมินโดยที่คนในชุมชนไม่ได้รับทราบและตอบแบบสอบถามใดๆ จึงอยากให้รัฐบาลทำอีไอเอใหม่อีกครั้งโดยให้ผู้มีส่วนร่วมได้แสดงความคิดเห็นว่าต้องการให้สร้าง Double deckต่อหรือไม่

 

    

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ข่าวล่าสุด

ตร.บุกจับ “สันธนะ” คาคอนโดหรู ย่านถนนวิทยุ ข้อหาร่วมกันอุ้มเรียกค่าไถ่ชาวต่างชาติ
"ชาวหนองหญ้าแก้ว" อุ่นใจ บังเกอร์หลบภัยอยู่ในสภาพพร้อมรองรับปชช. ทั้งยังก่อสร้างอย่าง แข็งแรง ทนทาน
บช.ปส. แถลงผลการจับกุมยาเสพติด 2 คดี ใหญ่ ยึดยาบ้า ประมาณ 3,500,000 เม็ด
เพชรบุรี///สส.เพชรบุรี ดัน "รำวงย้อนยุค" ขึ้นแท่น Soft Power! เตรียมจดลิขสิทธิ์กรมทรัพย์สินฯ
จีนคุมตัว 'เฉอ จื้อเจียง' อาชญากรพนันออนไลน์งกลับถึงจีนแล้ว
แม่ทัพกุ้ง บรรยายพิเศษ เรื่องเล่าทหารกล้า รักษาอธิปไตย เพื่อคนไทยทั้งแผ่นดิน

ดู LIVE รายการ

เราใช้ คุ้กกี้ เพื่อให้ทุกคนได้ประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น​