บริษัท กัลฟ์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (บริษัทฯ) รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 3/2568 โดยมีรายได้รวม (total revenue) อยู่ที่ 30,177 ล้านบาท ลดลง 26% จาก 40,617 ล้านบาท ในไตรมาสก่อน โดยมีสาเหตุหลักมาจากปริมาณการขายไฟฟ้าให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ของกลุ่มโรงไฟฟ้า IPP ที่ลดลงตามฤดูกาล ประกอบกับราคาก๊าซธรรมชาติที่ปรับตัวลดลง อย่างไรก็ตาม กำไรจากการดำเนินงาน (core profit) เพิ่มขึ้น 3% จาก 7,101 ล้านบาท ในไตรมาส 2/2568 เป็น 7,280 ล้านบาท ในไตรมาสนี้ และกำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) เพิ่มขึ้น 2% จาก 13,432 ล้านบาท ในไตรมาส 2/2568 เป็น 13,641 ล้านบาท ในไตรมาสนี้ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผลมาจากต้นทุนค่าก๊าซธรรมชาติที่ลดลง

ผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นของกลุ่มบริษัทฯ มีสาเหตุหลักมาจากการเติบโตของธุรกิจพลังงาน ทั้งกลุ่มโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติและโรงไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน โดยในไตรมาส 3/2568 โครงการโรงไฟฟ้ากัลฟ์ ศรีราชา (GSRC) ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้า IPP ภายใต้กลุ่ม IPD มีกำไรเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน เนื่องจากในไตรมาส 2/2568 มีการหยุดซ่อมบำรุงตามแผนงาน B-Inspection เป็นระยะเวลานานกว่าช่วงไตรมาส 3/2568 ขณะเดียวกัน บริษัทฯ รับรู้ส่วนแบ่งกำไร core profit จากกลุ่ม GJP เพิ่มขึ้นในไตรมาส 3/2568 ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผลมาจากกลุ่มโรงไฟฟ้า SPP จำนวน 7 โครงการภายใต้กลุ่ม GJP ที่มีอัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้น จากราคาก๊าซธรรมชาติเฉลี่ยที่ลดลงในอัตราที่สูงกว่าการลดลงของราคาค่า Ft โดยราคาก๊าซธรรมชาติเฉลี่ยลดลงจาก 317.3 บาท/ล้านบีทียู ในไตรมาส 2/2568 เป็น 298.0 บาท/ล้านบีทียู ในไตรมาส 3/2568 ในขณะที่ Ft เฉลี่ยลดลงจาก 0.25 บาท/กิโลวัตต์-ชั่วโมง ในไตรมาส 2/2568 เป็น 0.18 บาท/กิโลวัตต์-ชั่วโมง ในไตรมาส 3/2568 ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นในส่วนที่ขายไฟฟ้าให้กลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังรับรู้ส่วนแบ่งกำไร core profit จากโครงการโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ Jackson Generation ในประเทศสหรัฐอเมริกา จำนวน 557 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 316% จาก 134 ล้านบาท ในไตรมาสก่อน เนื่องจากโครงการรับรู้รายได้ค่า Capacity Payment ที่เพิ่มขึ้นเต็มไตรมาสในไตรมาส 3/2568 โดยค่า Capacity Payment เฉลี่ยปรับเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจาก 29 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อเมกะวัตต์ต่อวัน ในช่วงเดือนมิถุนายน 2567 ถึงพฤษภาคม 2568 เป็น 270 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อเมกะวัตต์ต่อวัน ในช่วงเดือนมิถุนายน 2568 ถึงพฤษภาคม 2569 ซึ่งเป็นผลมาจากความต้องการใช้ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นในตลาด Pennsylvania-New Jersey-Maryland Interconnection (PJM) ในขณะที่ปริมาณไฟฟ้าเสถียรที่จ่ายเข้าสู่ระบบลดลง นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังรับรู้ส่วนแบ่งกำไร core profit จากโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมที่เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน โดยโครงการภายใต้กลุ่ม Gulf Gunkul Corporation (GGC) รับรู้ส่วนแบ่งกำไรเพิ่มขึ้น 154% จาก 91 ล้านบาท ในไตรมาส 2/2568 เป็น 230 ล้านบาท ในไตรมาสนี้ จากความเร็วลมเฉลี่ยเพิ่มขึ้นจาก 4.8 เมตร/วินาที ในไตรมาส 2/2568 เป็น 5.7 เมตร/วินาที ในไตรมาส 3/2568 ในขณะที่โครงการ Borkum Riffgrund 2 (BKR2) ในประเทศเยอรมนี รับรู้ส่วนแบ่งกำไร core profit เพิ่มขึ้น 40% จาก 46 ล้านบาท ในไตรมาส 2/2568 เป็น 65 ล้านบาท ในไตรมาสนี้ จากที่มีความเร็วลมเฉลี่ยเพิ่มขึ้นจาก 7.5 เมตร/วินาที ในไตรมาส 2/2568 เป็น 8.0 เมตร/วินาที ในไตรมาส 3/2568






