“สร.รฟท. ส่งมอบ 5 ข้อเสนอ แผนปฏิรูปรถไฟไทยยั่งยืน “พิพัฒน์” รับลูกสั่งการเร่งแก้ปัญหา พัฒนาศักยภาพบุคลากร ลุยเต็มสูบสร้างองค์กรแข็งแรง
 
															
 
ข่าวที่น่าสนใจ
หลังจากเดินหน้าผลักดันแผนปฏิรูปการรถไฟมาโดยตลอด ล่าสุดสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจรถไฟแห่งประเทศไทย (สร.รฟท.) นำโดยนายสราวุธ สราญวงศ์ และประธานสร.รฟท. 9 สาขา พร้อมด้วยนายสมศักดิ์ โกศัยสุข , นายสาวิทย์ แก้วหวาน คณะที่ปรึกษา สร.รฟท. และผู้แทน #วิทยาลัยผู้นำและนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต ได้ร่วมกันเข้าชี้แจงนำเสนอแนวทางการแก้ไขปัญหาของการรถไฟฯ ต่อนายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ณ ห้องประชุมราชรถ 1 กระทรวงคมนาคม เพื่อเร่งรัดการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนอัตรากำลังพนักงานการรถไฟฯ ที่ยืดเยื้อมานานหลายปี พร้อมเสนอแนวทางเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานขององค์กรและความปลอดภัยของประชาชนผู้ใช้บริการ
 
ทั้งนี้ สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจรถไฟแห่งประเทศไทย ได้ชี้แจงว่า โครงการศึกษาและเก็บข้อมูลเพื่อเสนอเชิงนโยบาย เพื่อการพัฒนาการรถไฟอย่างยั่งยืน ซึ่งจะเป็นการพัฒนาโดยการ “ปฎิรูป” ไม่ใช่ “แปรรูป” รวมทั้งสิทธิ ศักดิ์ศรีของพนักงานการรถไฟแห่งประเทศไทยและครอบครัว ผู้โดยสาร ตลอดจนนำพาไปสู่การขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ
ส่วน 5 ข้อเสนอเพื่อการพัฒนาการรถไฟอย่างยั่งยืน ของ (สร.รฟท.) ประกอบด้วยดังนี้ คือ
 
 
1.การเพิ่มอัตรากำลังพนักงาน แก้ไขการขาดแคลนอัตราพนักงานการรถไฟแห่งประเทศไทยที่ขาดแคลนตามความจำเป็นเหมาะสมเร่งด่วนลดความตรากตรำในการทำงาน ของพนักงานที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับความปลอดภัยในการเดินรถ ซึ่งการรถไฟฯ มีบุคลากรรองรับไว้แล้ว ทั้งลูกจ้างที่ทำงานมานานจนมีทักษะความเชี่ยวชาญในหน้าที่ และผู้ที่จบจาก รร.วิศวกรรมรถไฟ
2.การเร่งรัดกระบวนการจัดซื้อรถจักร รถพ่วง(รถโดยสารชุด/รถดีเซลรางปรับอากาศ) เพื่อรองรับแผนนโยบายการให้บริการ และโครงการก่อสร้างทางคู่ , ทางคู่สายใหม่ ที่จะเริ่มแล้วเสร็จในปี 2572
3.การจัดหาจัดซื้อรถจักรรถพ่วง หากไม่สามารถดำเนินการได้ หากหนี้สาธารณะเกินเพดาน โดยเสนอให้ควรพิจารณาเสนอแนวทางการเช่า หรือเช่าซื้อโดยตรงกับบริษัทผู้ผลิต โดยไม่ต้องผ่านนายหน้า หรือระหว่างรัฐต่อรัฐ (G to G) เพื่อลดภาระทางการเงินและเพดานหนี้สาธารณะ
4.การสร้างประสิทธิภาพในการหารายได้จากบริหารจัดการที่ดินเชิงพาณิชย์ โดยบริษัทลูก SRTA อย่างมีประสิทธิภาพเพื่อนำรายได้มาสู่การรถไฟฯ เพื่อลดการขาดทุน และเสริมสภาพคล่องทางการเงิน รวมถึงครอบคลุมค่าใช้จ่ายบำเหน็จ บำนาญ
5.การพิจารณาพัฒนาศักยภาพของพนักงาน เพื่อให้ก้าวทันเทคโนโลยีที่ทันสมัย ยกระดับนักเรียนในโรงเรียนวิศวกรรมรถไฟให้มีขีดความสามารถทางทักษะและองค์ความรู้ซึ่งจะเป็นการพัฒนาบุคลากรเพื่อรองรับการขยายตัวของระบบรางทางคู่ที่กำลังจะเกิดขึ้น
พร้อมเน้นย้ำว่า บทสรุปทั้งหมดคือการปฎิรูปการรถไฟ ให้มีประสิทธิภาพ จะไม่ใช่การแปรรูปอย่างเด็ดขาด ซึ่งจะไม่ปิดกั้นที่จะให้เอกชนรายใดรายหนึ่งเข้ามามีส่วนร่วมในการปฎิรูปภายใต้กำกับของการรถไฟแห่งประเทศไทยซึ่งเป็นเจ้าของโดยตรง
ขณะที่ปัญหาของสาเหตุหลัก ด้านอัตรากำลังพนักงานมาหลังจากที่คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อปี 2541 ให้การรถไฟฯสามารถรับพนักงานเพิ่มทดแทนการเกษียณในแต่ละปีไม่เกินร้อยละ5 แต่ในความเป็นจริง การรับพนักงานใหม่กลับไม่ครอบคลุมการขาดแคลนจริง เนื่องจากมีพนักงานเกษียณในแต่ละปีเป็นจำนวนมาก และหลายตำแหน่งสำคัญไม่มีคนทดแทน เช่น พนักงานรถจักร พนักงานขบวนรถ พนักงานอาณัติสัญญาณ พนักงานปฏิบัติการที่สถานี และด้านบำรุงทาง ส่งผลให้พนักงานที่เหลือต้องทำงานล่วงเวลาเฉลี่ยวันละกว่า 10 ชั่วโมง และไม่มีวันหยุดซึ่งกระทบต่อสุขภาพ ความปลอดภัยในการทำงานและคุณภาพชีวิตของผู้ปฏิบัติงาน รวมถึงความปลอดภัยในการเดินรถ



ทางด้านนายสมศักดิ์ฯ ประธานที่ปรึกษา สร.รฟท. กล่าวเพิ่มเติมว่า การเข้านำเสนอในวันนี้ไม่ใช่การต่อสู้เพื่อใคร แต่เรากำลังจะสร้างมาตรฐานการทำงานเพื่อให้การเดินรถอย่างปลอดภัย
จากนั้นนายสาวิทย์ ที่ปรึกษาฯ กล่าวเสริมว่า “จากความร่วมมือกับทางวิทยาลัยผู้นำและนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต ในการผลสรุปการศึกษา การพัฒนารถไฟอย่างยั่งยืน ซึ่งผ่านการระดมความคิดเห็นจาก 11 เวที ทั่วประเทศสะท้อนปัญหา อุปสรรคของผู้ปฏิบัติงานจริง ซึ่งผลการศึกษาเพื่อใช้เป็นแนวทางในการกำหนดแผนเชิงนโยบายของการรถไฟต่อไป นอกจากนี้ สหภาพฯ ยังเสนอให้รัฐเร่งอนุมัติการจัดซื้อหรือเช่ารถจักรใหม่ภายในปี 2569 เพื่อรองรับโครงการรถไฟทางคู่ที่ทยอยเปิดเดินรถเต็มระบบ และช่วยลดภาระการใช้งานรถจักรเก่าที่เกินอายุทางเทคนิค รวมถึฃทุกประเด็นที่ทางสหภาพฯ นำเสนอ ไม่ใช่แค่การเรียกร้องผลประโยชน์ของพนักงาน แต่เป็นการเรียกร้อง เพื่อความปลอดภัยของประชาชนและความยั่งยืนของระบบรางประเทศ
ทางด้าน นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ระบุว่า จากการรับฟังข้อเสนอจาก สร.รฟท. ที่เดิมเคยมีการขอให้รัฐบาลทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2541 กำหนดให้ รฟท. สามารถรับพนักงานเพิ่มได้ไม่เกิน 5% จากจำนวนผู้เกษียณอายุ ซึ่งไม่เพียงพอกับภารกิจในปัจจุบัน โดยเฉพาะเมื่อโครงการรถไฟทางคู่ระยะที่ 1 เปิดให้บริการแล้ว และทางคู่ระยะที่ 2 รวมถึงทางคู่สายใหม่ จะทยอยเปิดใช้งานในช่วงปี 2572 ดังนั้น ตนจึงได้มอบให้ รฟท. และสหภาพแรงงานฯ ร่วมกันจัดทำแผนอัตรากำลังให้เหมาะสมกับภารกิจ พร้อมนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาช่วยเสริม ลดภาระงานซ้ำซ้อน และควบคุมให้การทำงานเป็นไปตามกฎหมายแรงงาน เพื่อความปลอดภัยของผู้โดยสารและประสิทธิภาพการทำงานของบุคลากร
พร้อมกันนี้ยังเน้นย้ำให้ รฟท. พิจารณานำค่าล่วงเวลาของพนักงานไปใช้ในการจ้างบุคคลภายนอกเพิ่มเติม เพื่อแบ่งเบาภาระงาน และให้บรรจุนักเรียนที่จบจากโรงเรียนวิศวกรรมรถไฟเข้าทำงานครบทุกปีการศึกษา เพื่อเสริมกำลังคนรุ่นใหม่เข้าสู่ระบบอย่างต่อเนื่องในส่วนของทรัพยากร เช่น รถจักร รถพ่วง และตู้โดยสาร
นอกจากนี้นายพิพัฒน์ ยังได้สั่งการให้ รฟท. เร่งจัดทำแผนบริหารจัดการธุรกิจให้มีประสิทธิภาพ โดยต้องมองเห็นแนวทางที่ทำให้กิจการ “มีกำไรและไม่ขาดทุน” พร้อมยืนยันว่ากระทรวงคมนาคมพร้อมสนับสนุนการจัดหาทรัพยากรที่จำเป็น โดยไม่ให้กระทบต่อหนี้สาธารณะของประเทศ
“มอบหมายรฟท. พิจารณาราคาเช่าทรัพย์สิน ให้สอดคล้องกับราคาตลาดและแนวโน้มในอนาคต เพื่อเพิ่มรายได้และนำกลับมาพัฒนาธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ทำให้การรถไฟแห่งประเทศไทยกลับมาแข็งแรงอีกครั้ง ทั้งในด้านบุคลากรและการบริหารจัดการ เพื่อให้พนักงานมีขวัญกำลังใจ และให้กิจการเดินหน้าได้อย่างมั่นคง ยั่งยืน ไม่ต้องพึ่งพาการกู้เงินจากรัฐอีกต่อไป”
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ข่าวล่าสุด
เราใช้ คุ้กกี้ เพื่อให้ทุกคนได้ประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น