
เมื่อเวลา 08.00 น.วันที่ 1 พ.ย.68 ที่หมู่บ้านชื่อดังแห่งหนึ่งย่านไทรม้า อำเภอเมือง จังหวัดนนทบุรี ผู้สื่อข่าวได้รับการร้องเรียนจาก น.ส. พยุง ด้วงกรัด อายุ 90 ปี หลังคุณยายถูกหลานสาว(ลูกของน้องสาว) และหลานเขย หิ้วปีกไล่ออกจากบ้านอย่างไร้เยื่อใย ทำให้ยายพยุงต้องดั้งด้นกลับไปขอความช่วยเหลือ จากเพื่อนบ้านเก่าที่สนิทกันเมื่อ 30 กว่าปีที่แล้วเพราะไม่มีที่ซุกหัวนอน โดยไม่คาดคิดว่าหลานสาวและหลานเขยจะทำร้ายจิตใจคุณยายได้ขนาดนี้


ยายพยุง เล่าว่า ในอดีตที่ผ่านมา เธอเป็นชาวนาที่จังหวัดฉะเชิงเทรา ไม่ได้แต่งงานและมีครอบครัว มีพี่น้องร่วมท้องกันมา 9 คน ทุกคนล้วนเสียชีวิตไปหมดแล้วเหลือเพียงแค่ ตนเพียงคนเดียว ตนได้อาศัยอยู่กับ นายเอ นางบี นามสมมุติ ที่หมู่บ้านแห่งหนึ่งย่านไทรม้า โดยตนได้เลี้ยงลูกสาว และลูกชายของนายเอกับนางบี (ซึ่งมีศักดิ์เป็นเหลนของตน) ตั้งแต่ยังเล็ก จนกระทั่ง เหลนสาวคนโตเรียนจบเป็นหมอ ส่วนเหลนชาย อยู่ระหว่างเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัย

ช่วงที่ตนเองยังสาวๆไม่มีครอบครัว ได้ยึดอาชีพทำนามาตลอด จนกระทั่งพ่อแม่พี่น้องของตนเองเสียชีวิตไปหมดแล้ว ตนจึงมาอยู่กับหลานสาวซึ่งเป็นลูกของน้องสาว โดยตนเองมีเงินเก็บอยู่ 3.5 ล้านบาท เมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา ตนตั้งใจจะให้เหลนสาวกับเหลนชายคนละ 1 ล้านบาท ส่วนที่เหลืออีก 1,500,000 บาท ตั้งใจว่าจะเก็บไว้ใช้จ่ายในยามสุดท้ายของบั้นปลายชีวิต

ยายพยุง ได้นำสมุดบัญชีมาให้ผู้สื่อข่าวดู พบว่า เหลนสาวมียอดเงินฝากรวมทั้งพันธบัตร เป็นจำนวนเงิน 2500,000 บาท ส่วนเหลนชายมีเงินฝากอยู่ในธนาคาร จำนวน 1 ล้านบาท จริงตามที่คุณยายเล่าให้ฟัง โดยคุณยายบอกว่า หลานสาวกับหลานเขยมาบอกกับตนเองว่า ถ้ามีเงินอยู่ในธนาคารเยอะไม่ดีธนาคารจะล้ม ให้ตนถอนเงินออกมาและแปะไว้ที่บัญชีเหลนชายเหลนสาว ตนเองรักเหลนทั้งสองคน และมีความตั้งใจจะให้เงินดังกล่าวอยู่แล้ว แต่ก็ไม่เข้าใจว่าทำไมสมุดบัญชีของตนซึ่งเป็นธนาคารกรุงไทย กับไม่มียอดเงิน 1.5 ล้านบาทที่ตนอยากจะเก็บไว้ ทำไมเงินทั้งหมดจึงไปอยู่ในบัญชีของเหลนสาวและเหลนชาย เมื่อตนเอ่ยปากทวงถาม เรื่องนี้ รวมทั้งเรื่องที่ หลานสาวให้ตนฝากทรัพย์สินที่เป็นทองไว้ แต่ตนไม่ได้ฝากทำให้ทั้งสองคนอาจไม่พอใจหาเรื่องไล่ตนออกจากบ้านเมื่อวันอังคารที่ 28 ต.ค.68 ที่ผ่านมา ตนถูกหลานสาวและหลานเขยหิ้วปีกออกมาจากบ้านและสั่งว่าห้ามกลับเข้ามาที่บ้านหลังนี้อีก ตนต้องออกมาตัวเปล่าไม่รู้จะไปไหน










