BBC และรอยเตอร์สรายงานว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐได้โพสต์ผ่านโซเชียลมีเดีย “Truth” เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา (วันพฤหัสบดี 30 ต.ค.) ก่อนพบปะกันประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีนที่เกาหลีใต้ โดยเผยว่าเขาได้สั่งให้กระทรวงกลาโหมหรือกระทรวงสงครามกลับมาเริ่มการทดสอบอาวุธนิวเคลียร์อีกครั้งโดยทันที เพื่อให้ทัดเทียมกับมหาอำนาจนิวเคลียร์อื่นๆ
ทรัมป์กล่าวว่า หลายประเทศกำลังมีการทดสอบนิวเคลียร์ โดยรัสเซียอยุ่ในอันดับสอง จีนอยุ่อันดับสาม และจะขึ้นมาทัดเทียมรัสเซียภายในเวลา 5 ปี
เมื่อวานนี้ (พุธที่ 29 ตค.) ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูตินกล่าวว่า รัสเซียประสบความสำเร็จในการทดสอบ “โพไซดอน” ขีปนาวุธใต้น้ำหรือซุเปอร์ทอร์ปิโด ซึ่งขับเคลื่อนด้วยพลังงานนิวเคลียร์ ซึ่งนักวิเคราะห์ทางทหารระบุว่า สามารถสร้าง “สึนามิกัมมันตรังสี” ซึ่งมีศักยภาพทำลายล้างแนวชายฝั่งของศัตรูได้ นอกจากนี้ยังมีการทดสอบขีปนาวุธร่อนรุ่นใหม่ “บูเรเวสต์นิก” (Burevestnik) เมื่อวั้นที่ 21 ตุลาคม และซ้อมรบยิงนิวเคลียร์เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม
ขณะที่สหรัฐทดสอบอาวุธครั้งสุดท้ายไปเมื่อปี 2535 หรือ 33 ปีที่แล้ว การทดสอบนิวเคลียร์ครั้งนี้นอกจากจะเป็นการเก็บข้อมูลทางเทคนิคเพื่อยืนยันประสิทธิภาพของหัวรบรุ่นใหม่และตรวจสอบความพร้อมของอาวุธเก่าในคลังแสง ก็ยังเป็นการส่งสัญญาณท้าทายโดยตรงไปยังรัสเซียและจีน เพื่อแสดงแสนยานุภาพทางยุทธศาสตร์ของสหรัฐอีกค้วย
สหรัฐเป็นประเทศแรกที่เริ่มทดสอบอาวุธนิวเคลียร์ในเดือนกรกฎาคม 2488 ด้วยการทดสอบระเบิดปรมาณูขนาด 20 กิโลตันที่เมืองอะลาโมกอร์โด รัฐนิวเม็กซิโก ก่อนนำมาใช้ที่เมืองฮิโรชิมาและนางาซากิของญี่ปุ่นในเดือนสิงหาคม 2488 เพื่อได้รับชัยชนะในสงครามโลกครั้งที่สอง การสั่งทดสอบคร้้งนี้จึงเป็นคร้้งแรกในรอบกว่า 30 ปี ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงนโยบายด้านความมั่นคงครั้งสำคัญของสหรัฐในรอบ 33 ปี

