AFP และรอยเตอร์สรายงานว่าแคโรไลน์ ลีฟวิต โฆษกทำเนียบขาวออกมาเปิดเผยกับผู้สื่อข่าวในวันนี้ (อังคารที่ 28 ตค.) ว่านายกรัฐมนตรีซานาเอะ ทาคาอิจิ ของญี่ปุ่นซึ่งอยู่ระหว่างการพบหารือแบบทวิภาคีกับทรัมป์ที่โตเกียวในประเด็นเศรษฐกิจและความมั่นคงจะเสนอชื่อผู้นำสหรัฐเข้าชิงรางวัลโนเบล สาขาสันติภาพสำหรับปีหน้า (2569)
ทาคาอิจิกล่าวระหว่างแถลงข่าวผ่านล่ามแปลภาษาว่า “แค่ระยะเวลาเพียงสั้นๆ โลกเริ่มรู้สึกได้ถึงสันติภาพที่เพิ่มมากขึ้น” และ “ส่วนตัวดิฉันเองก็มีความประทับใจและได้รับแรงบันดาลใจจากมิสเตอร์ประธานาธิบดี”
นับตั้งแต่ที่กลับเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐสมัยที่สองในเดือนมกราคม (2568) ทรัมป์ได้แสดงความสนใจในรางวัลโนเบลมากขึ้น โดยอ้างผลงานเรื่องการยุติสงครามและความขัดแย้งหลายแห่งทั่วโลก แม้ผู้เชี่ยวชาญหลายคนจะไม่เห็นด้วย
ผู้นำโลกและสมาชิกรัฐสภาหลายชาติได้เล็งเห็นในเรื่องนี้ และเริ่มที่จะหันมาใช้กลยุทธ์การเสนอชื่อทรัมป์ชิงรางวัลโนเบลมาเป็นเครื่องมือในการเอาใจผู้นำสหรัฐ โดยหนึ่งในนั้นคือนายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู ของอิสราเอล, ตามด้วยประธานาธิบดีไบรซ์ โอลิกุย เงวมา ของกาบอง ที่ยกย่องบทบาทของสหรัฐและทรัมป์ในฐานะตัวกลางทำให้เกิดข้อตกลงสันติภาพระหว่างรวันดาและสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก และล่าสุดเมื่อวานนี้ (จันทร์ที่ 27 ตค.) นายกรัฐมนตรีฮุน มาเน็ต ของกัมพูชาก็ได้บอกกับทรัมป์ซึ่งเข้าร่วมเป็นสักขีพยานในการลงนามข้อตกลงสันติภาพไทย-กัมพูชาที่มาเลเซียว่าเขาได้เสนอชื่อทรัมป์เข้าชิงโนเบล
ก่อนหน้านี้มีผู้นำสหรัฐเพียงสองคนที่ได้รับรางวัลเกียรติยศนี้คืออดีตประธานาธิบดีจิมมี่ คาร์เตอร์และอดีตประธานาธิบดีบารัก โอบาม่า

