2. สปสช มักจะอ้างว่าผมเป็นคณะกรรมการรับรู้ด้วย ผมขอเรียนว่า ผมปฏิเสธการเป็นกรรมการตามที่ สปสช อ้าง แต่ สปสช ออกประกาศคำสั่งแต่งตั้ง ดังนั้นผมจึงไม่เข้าร่วมการประชุม มติการประชุมจึงไม่มีผมเข้าร่วมรับรู้หรือพิจารณาด้วย อีกทั้งผมเห็นว่าผมมีส่วนได้เสีย เป็นผู้ที่อาจจะได้รับผลประโยชน์จากการประชุม ผมจึงไม่เข้าร่วมการประชุมด้วย ดังนั้น สปสช จะอ้างว่าผมเป็นคณะกรรมการได้รับรู้มติทั้งหลายไม่ได้นะครับ…สปสช อย่าบิดเบือนให้สังคมเข้าใจผิด

3. ผมเคยไปเข้าร่วมประชุมคณะกรรมการฯ เมื่อ ม.ค.68 โดยไม่รับรองมติใด ๆ เมื่อผมทราบเรื่อง ‘ระบบแต้ม หรือ Point system’ ที่จะใช้ในปีงบประมาณ 68-69 ผมจึงประกาศยกเลิกการรับส่งต่อผู้ป่วยจาก 35 คลินิกทันที โดยเริ่มยกเลิกตั้งแต่วันที่ 1 ก.พ.68 เพราะหาก รพ.มงกุฎวัฒนะยังรับการส่งต่อผู้ป่วยจำนวนมากต่อไป รพ.มงกุฎวัฒนะจะเกิดปัญหาขาดทุนอย่างรุนแรงในปีงบประมาณ 68 มากขึ้นไปอีก …คาดว่า รพ.รับส่งต่อในเขตกรุงเทพฯ ทั้งคณะแพทยศาสตร์ – รพ.ในสังกัด กทม – รพ.ในสังกัด สธ – รพ.ในสังกัดกระทรวงกลาโหม ทุก รพ.จะขาดทุนมหาศาลจาก ‘ระบบแต้ม หรือ Point system’ ทั้งยังอาจถูกเรียกเงินคืนโดยไม่รู้ตัว

4. สัญญาหน่วยบริการปฐมภูมิสิ้นสุด ณ 30 ก.ย.68 ส่วนสัญญาใหม่ยังไม่มีการลงนามกัน หาก รพ.มงกุฎวัฒนะยังให้บริการ โอ พี ดี หน่วยปฐมภูมิ ตั้งแต่ 1 ต.ค.68 ไปเรื่อยๆแล้ว สปสช โกงหรือเบี้ยวหนี้ซ้ำซากอีก รพ.มงกุฎวัฒนะก็จะประสบปัญหาซ้ำซ้อนยุ่งยากต่อการแก้ไข …เราจึงจำเป็นต้องหยุด โอ พี ดี ผู้ป่วยบัตรทอง ตั้งแต่ 16 ต.ค.68 จนกว่าจะมีความชัดเจนจาก สปสช

5. อื่นๆ เช่น การออกกฎ ออกประกาศแล้วใช้บังคับย้อนหลัง ฯลฯ ด้วยเหตุผลทั้ง 5 ข้อข้างต้น จึงเป็นความไม่แน่นอน เป็นความเสี่ยงต่อการดำรงความอยู่รอดของ รพ.มงกุฎวัฒนะ ดังนั้น รพ.มงกุฎวัฒนะจึงจำเป็นต้องหยุดให้บริการ โอ พี ดี ผู้ป่วยบัตรทอง ตั้งแต่วันที่ 16 ต.ค.68 เป็นต้นไปจนกว่า สปสช จะชำระหนี้ค้างจ่ายปีงบประมาณ 63 และปีงบประมาณ 67 มากกว่า 50 ล้านบาท ตลอดจนมีความชัดเจนแน่นอนเสียก่อน มิฉนั้นแล้วจะเกิดปัญหาซับซ้อนมากยิ่งขึ้น จนยากต่อการแก้ไข