"จตุพร" พร้อมแกนนำนปช.ทยอยมาศาล ลั่นไม่หวั่นไหว พร้อมยอมรับผลพิพากษา คดีชุมนุมไล่อภิสิทธิ์ บุกบ้าน"ป๋าเปรม"
ข่าวที่น่าสนใจ
ภายหลังศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลนัดฟังคำพิพากษาครั้งที่ 2 คดี หมายเลขดำอ.968/2561 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 10 เป็นโจทก์ฟ้อง นายวีระกานต์ มุสิกพงศ์ อดีตประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (ปธ.นปช.) พร้อมแกนนำ นปช. และแนวร่วมอื่นๆ เป็นจำเลย 1-13 ในความผิด ฐานร่วมกันมั่วสุมตั้งแต่10 คนขึ้นไป สร้างความกระด้างกระเดื่องก่อความวุ่นวายในบ้านเมือง ,ฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ พ.ศ.2548
กรณีเมื่อระหว่างวันที่ 31 มกราคม – 9 เมษายน2552 พวกจำเลย ได้ร่วมกันชุมนุมขับไล่รัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ โดยปิดทางเข้า-ออกทำเนียบรัฐบาล เพื่อขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของคณะรัฐมนตรี รวมถึงมีผู้ชุมนุมบางส่วนบุกไปยังบ้านพัก พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี (ขณะนั้น) เพื่อกดดันให้ พล.อ.เปรม พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ และนายชาญชัย ลิขิตจิตถะ ลาออกจากตำแหน่งองคมนตรี รวมทั้งการปิดล้อมสถานที่ราชการสำคัญ ๆ หลายแห่งใน กทม. จำเลยทั้งหมดให้การปฏิเสธ และได้รับการประกันตัว
สำหรับคดีนี้เมื่อวันที่ 22 สิงหาคมที่ผ่านมา ศาลอาญานัดฟังคำพิพากษาครั้งแรก แต่เนื่องจากนายอดิศร เพียงเกษ สส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย จำเลยที่ 11 อยู่ระหว่างสมัยประชุมสภา ส่วนนายพงศ์พิเชษฐ์ สุขจินดาทอง จำเลยที่ 10 มีพฤติการณ์ หลบหนี ศาลสั่งออกหมายจับ ปรับนายประกัน
สำหรับจำเลยทั้ง 13 คนประกอบด้วย
1.นายวีระกานต์ มุสิกพงศ์
2.นายจตุพร พรหมพันธุ์
3.นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ
4.นพ.เหวง โตจิราการ
5.นายสิระ หรือสรวิชญ์ พิมพ์กลาง แกนนำคนเสื้อแดง จ.สกลนคร
6.นายนายณรงศักดิ์ มณี
7.นายวิภูแถลง พัฒนภูมิไท
8.นายพิพัฒน์ชัย ไพบูลย์
9.นายพายัพ ปั้นเกตุ
10.นายพงศ์พิเชษฐ์ หรือพิเชษฐ์ สุขจินดาทอง
11.นายอดิศร เพียงเกตุ
12.นายพีระ พริ้งกลาง (เสียชีวิต)และ
13.นายเมธี อมรวุฒิกุล อดีตนักแสดงชื่อดัง
ล่าสุดวันนี้ (7 ต.ค.) นายจตุพร พรหมพันธุ์ หนึ่งในจำเลย ให้สัมภาษณ์อย่างตรงไปตรงมา ก่อนเข้าฟังคำพิพากษา โดยสะท้อนถึงการเดินทางยาวนานกว่า 16 ปีของคดีนี้ว่า แม้จะใช้เวลายาวนานจนเข้าสู่ปีที่ 17 แต่ตนถือว่าเป็นเส้นทางการต่อสู้ที่ต้องยอมรับ
“ชีวิตในและนอกคุก สำหรับผมมันเป็นเรื่องปกติไปแล้ว เมื่อเลือกเส้นทางการต่อสู้ก็ต้องยอมรับผลที่จะตามมา ไม่ว่าศาลจะตัดสินอย่างไร เราก็ต้องสู้กันต่อไป”
นายจตุพร ย้ำว่า ตนเองอาจมีคดีมากกว่าแกนนำคนอื่น แต่ไม่เคยหวั่นไหว เพราะการขึ้นศาลทุกครั้งคือการ “เตรียมหัวใจ” ให้พร้อมรับผลลัพธ์ ไม่ว่าจะออกมาเช่นไร
นายจตุพร ยังกล่าวถึงท่าทีต่อความขัดแย้งทางการเมือง โดยยืนยันว่า สิ่งที่ทำมาตลอดไม่เคยมีเรื่องส่วนตัวติดค้างกับใคร ไม่ว่าจะเป็น นายทักษิณ ชินวัตร หรือบุคคลทางการเมืองอื่น
“สิ่งที่ผมยึดมาตลอดคือการต่อสู้เชิงหลักการ ไม่ใช่เรื่องส่วนตัว ต่อให้ทะเลาะกับใครก็ไม่เคยมีปัญหาส่วนตัวกับเขา เพราะทุกอย่างเป็นเรื่องของบทบาทหน้าที่”
เมื่อถามถึงการเปรียบเทียบระหว่างชีวิตนอกเรือนจำและในเรือนจำ นายจตุพร กล่าวอย่างมีนัยสำคัญว่า การอยู่ในเรือนจำแม้จะยากลำบาก แต่กลับเป็นช่วงเวลาที่สอนให้เรียนรู้การปล่อยวาง
“เรือนจำคือสุสานของคนเป็น อยู่ในนั้นต้องเรียนรู้ให้เป็น เย็นให้พอ รอให้ได้ ข้างนอกยากที่สุด แต่ในเรือนจำไม่ว่าใหญ่แค่ไหน มันก็เล็กกว่าเรือนจำอยู่แล้ว สิ่งสำคัญคือใจต้องปล่อยวาง”
คำพูดดังกล่าวสะท้อนถึงประสบการณ์ตรงที่เขาเคยผ่านการถูกจำคุกหลายครั้ง และใช้เป็นเครื่องย้ำเตือนในการต่อสู้ปัจจุบัน
ในประเด็นร้อนทางการเมือง นายจตุพร ยังให้ความเห็นต่อกรณีการยื่นขอพระราชทานอภัยโทษครั้งที่ 2 ของ นายทักษิณ โดยระบุว่า เป็นสิทธิ์ตามกฎหมายที่ผู้ต้องขังทุกคนมีสิทธิ์ใช้เพื่อแสวงหาอิสรภาพ
“รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ไม่ว่าจะเป็นคนก่อนหรือคนปัจจุบัน มีหน้าที่ถวายความเห็นในฐานะตัวแทนรัฐบาล ส่วนผู้ต้องขังก็มีสิทธิ์ขออภัยโทษหรือฎีกา นั่นคือสิทธิ์ตามกฎหมาย ไม่มีใครปฏิเสธได้”
นายจตุพร มองว่าการขออภัยโทษครั้งที่สองน่าจะมีความสมบูรณ์มากกว่าครั้งแรกที่มีปัญหา พร้อมย้ำว่า สุดท้ายขึ้นอยู่กับกระบวนการยุติธรรม และทุกฝ่ายต้องเคารพหลักการ
นายจตุพร ทิ้งท้ายว่า การต่อสู้ทางกฎหมายเป็นเพียงส่วนหนึ่ง แต่ภารกิจทางการเมืองยังคงดำเนินต่อไป โดยเฉพาะกลุ่มการเมืองที่ตนเกี่ยวข้องอย่าง “คณะรวมพลังแผ่นดิน” ที่ยังคงมีเป้าหมายในการขับเคลื่อนประเทศ แม้เส้นทางข้างหน้าจะเต็มไปด้วยความท้าทาย
อย่างไรก็ตาม ผลลัพธ์ของคดีเป็นเรื่องของศาล แต่ภารกิจการเมืองคือเรื่องใหญ่ที่ต้องเดินหน้าต่อ ไม่ว่าบรรยากาศจะเป็นอย่างไร ต่างคนต่างทำหน้าที่ให้ครบถ้วน
ทางด้านนายแพทย์ เหวง โตจิราการ ระบุว่า วันนี้รู้สึกสบาย ๆ ไม่ได้กังวลอะไร ตนเชื่อมั่นในคำพิพากษาของศาล และตนเชื่อว่าศาลมีความยุติธรรม ซึ่งวันนี้ตนก็มาฟังคำพิพากษา
ขณะที่ นางธิดา ถาวรเศรษฐ เผบว่า วันนี้ตนได้มีการเตรียมตัวสำหรับในส่วนของเงินประกันตัว เพราะมี2คดี คดีที่1 คือคดีการชุมนุมหน้าทำเนียบรัฐบาล ปี2552 บริเวณหน้าสะพานสะพานชมัยมรุเชฐ และ อีกคดีคือการชุมนุมที่ พัทยา จ.ชลบุรี โดย คดีการชุมนุมหน้าทำเนียบรัฐบาล ปี2552 บริเวณหน้าสะพานสะพานชมัยมรุเชฐ เป็นศาลชั้นต้น แต่คดีที่พัทยา ศาลนั้นได้มีการพิพากษาคนอื่นไปแล้วให้จำคุก4ปี ซึ่งก็มีผู้ไปฟ้องว่าแกนนำส่วนกลางจะต้องโดนด้วย เพราะอาจมีส่วนรู้เห็น
แต่ทีนี้มื่อศาลชั้นต้นยกคำร้อง แต่ศาลอุทธรณ์ มีคำสั่งให้ศาลชั้นต้นแก้ เพราะฉะนั้น สิ่งที่น่าเป็นห่วงก็คือจะโยงไปถึงคดีที่พัทยาด้วย เพราะศาลอุทธรณ์ให้ศาลชั้นต้นทำใหม่
ข่าวที่เกี่ยวข้อง