กระทบคนกรุงฯแน่ “ศาลปกครองกลาง” ยึดคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด ให้ “กทม.-เคที” ชำระหนี้ค่าเดินรถไฟฟ้าสายสีเขียวงวด 2 ชี้ยอดพุ่งกว่า 1.2 หมื่นล้าน เหตุ “ชัชชาติ” ยื้อจ่ายทำดอกเบี้ยเพิ่ม

กระทบคนกรุงฯแน่ "ศาลปกครองกลาง" ยึดคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด ให้ "กทม.-เคที" ชำระหนี้ค่าเดินรถไฟฟ้าสายสีเขียวงวด 2 ชี้ยอดพุ่งกว่า 1.2 หมื่นล้าน เหตุ "ชัชชาติ" ยื้อจ่ายทำดอกเบี้ยเพิ่ม

วันนี้ (29 ก.ย) เวลา 10.00 น. ศาลปกครองกลาง นัดอ่านคำพิพากษาในคดีที่บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ บีทีเอส ยื่นฟ้องกรุงเทพมหานคร และ บริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด กรณีผิดสัญญาการให้บริการเดินรถและซ่อมบำรุงส่วนต่อขยายโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2564 ถึงวันที่ 20 พฤศจิกายน 2565 เพื่อขอให้ชำระค่าตอบแทนตามสัญญาดังกล่าวณ ห้องพิจารณาคดี 8 ชั้น 3 อาคารศาลปกครอง ถนนแจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ

โดยล่าสุด ศาลปกครองกลางมีคำพิพากษา ได้มีคำสั่งให้กรุงเทพมหานคร และ บริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด ชำระเงินให้แก่บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) สำหรับหนี้ค่าจ้างเดินรถ และซ่อมบำรุงโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยายที่ 1 ช่วงอ่อนนุช – แบริ่งและช่วงสะพานตากสิน – บางหว้า (เดินรถช่วง มิ.ย. 64 -ต.ค. 65 ) แล ะส่วนต่อขยาย 2 ช่วงแบริ่ง – เคหะสมุทรปราการและช่วงหมอชิต – สะพานใหม่ – คูคต และส่วนต่อขยายที่ 2 ตั้งแต่ เดือน มิ.ย. 64 ถึง ต.ค. 65 (งวดที่ 2 ) แบ่งเป็น หนี้ค่าจ้างเดินรถ และซ่อมบำรุงโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยายที่ 1 รวมเงินต้นและดอกเบี้ย จำนวน 2,895 ล้านบาท

และหนี้ค่าจ้างเดินรถและซ่อมบำรุงโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยายที่ 2 รวมเงินต้นพร้อมดอกเบี้ย กว่า 8,174 ล้านบาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จสิ้น โดยให้ชำระให้แล้วเสร็จภายใน 180 วัน นับแต่วันที่คดีถึงที่สุด และคืนค่าธรรมเนียมศาลบางส่วนตามส่วของการชนะคดี คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก

 

 

 

ข่าวที่น่าสนใจ

ผู้สื่อข่าว ท็อป นิวส์ รายงานด้วยว่า วันนี้ ทางฝั่งกรุงเทพมหานคร ได้ส่งนายสิทธิพร สมคิดสรรพ์ ผู้อำนวยการสำนักการจราจรและขนส่ง กรุงเทพมหานคร มาฟังคำพิพากษา ส่วนบีทีเอส ได้ส่งทนายความมาเป็นตัวแทน ซึ่งมูลหนี้ดังกล่าวยังไม่รวมภาระดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นนับจากเดือน ต.ค. 65 ถึงปัจจุบัน ที่คาดว่าจะให้มีมูลหนี้รวมกว่า 12,000 ล้านบาท

และภายหลังศาลปกครองกลางอ่านคำพิพากษา นายสิทธิพร เปิดเผยว่า เบื้องต้นจะนำคำพิพากษาไปหารือกับผู้บริหารกทม.ว่าหลังจากนี้จะยื่นอุทธรณ์หรือไม่ เพราะหากยื่นอุธรณ์ จะต้องคำนึงถึงภาระดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น และ ข้อ 2 คือ คำพิพากษาศาลปกครองกล่างไม่ได้เปลี่ยนไปจากครั้งศาลปกครองสูงสุดที่ผ่านมา

ส่วนขั้นตอนการชำระเงินนั้น ทางกทม.จะนำเรื่องทั้งหมดเข้าสู่ที่ประชุมสภากทม. เพื่อขออนุมัติงบประมาณมาชำระเงินให้แก่บีทีเอส เช่นเดียวกับการชำระหนี้ก้อนแรกในช่วงก่อนหน้านี้ ซึ่งมีข้อน่าสังเกตุว่า มูลหนี้จากการว่าจ้างเดินรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยาย มีภาระเพิ่มเติมจากดอกเบี้ยค้างชำระจำนวนมาก และสภากทม.เคยทักท้วง นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าฯกทม.มาแล้วหลายครั้ง ให้เร่งรัดำเนินการ เพื่อลดภาระดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นวันละ 5.4 ล้านบาท

ส่วนประเด็นอื่นๆ ที่กทม. และ บริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด นำมาเป็นเหตุผล ในการแสดงให้เห็นว่าสัญญาว่าจ้างเดินรถไฟฟ้าสายสีเขียว ส่วนต่อขยายไม่ชอบด้วยกฎหมาย ศาลปกครองกลาง วินิจฉัยว่าไม่มีผลทำให้สัญญาว่าจ้างเดินรถไฟฟ้าเป็นโมฆะ เนื่องจากการทำสัญญาทั้งหมด ไม่ขัดกับคณะปฏิวัติความสมบูรณ์ของสัญญา ซึ่งได้รับคำวินิจฉัยจากศาลปกครองสูงสุดแล้ว ดังนั้นการกล่าวอ้างว่าสัญญาไม่ชอบจึงตกเป็นโมฆะไม่อาจรับฟังได้

ส่วนกรณี ป.ป.ช. ชี้มูลความผิดผู้บริหารกทม. ว่าด้วยเหตุการขยายสัมปทานจากปี 2572 ไปอีก 13 ปี เป็นปี2585 ถึงแม้อาจมีประเด็นที่ศาลปกครองจะต้องวินิจฉัยเพิ่มเติม แต่ในชั้นนี้ ศาลพิจารณาว่า เมื่อข้อพิพาทคือเรื่อง การไม่ชำระค่าจ้างเดินรถไฟฟ้าสายสีเขียว ส่วนต่อขยายที่ 1 และ 2 เป็นคนละเรื่องคนละสัญญาแยกกัน การชี้มูลจึงไม่มีผลต่อข้อพิพาทนี้แต่อย่างใด

ขณะที่ก่อนหน้านั้น นายสุรพงษ์ เลาหะอัญญา กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บมจ. ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ (BTSC) ระบุว่า มลหนี้รถไฟฟ้าสายสีเขียวระหว่าง BTSC กับ กรุงเทพมหานคร (กทม.) และ บจ.กรุงเทพธนาคม (KT) ส่วนที่มีคดีฟ้องร้องนั้น ปัจจุบันทางกทม.จ่ายหนี้แล้ว 2 ส่วน ได้แก่ หนี้ค่าจ้างติดตั้งงานระบบเดินรถ (ระบบไฟฟ้าและเครื่องกล หรือ E&M) ของโครงการส่วนต่อขยาย 2 ช่วงแบริ่ง – เคหะสมุทรปราการ และ ช่วงหมอชิต – สะพานใหม่ – คูคต จำนวนเงิน 23,000 ล้านบาท และหนี้ที่เกิดจากการฟ้องครั้งที่ 1 ส่วนต่อขยาย 1 ช่วงอ่อนนุช – แบริ่งและช่วงสะพานตากสิน – บางหว้า (เดินรถช่วง พ.ค. 62-พ.ค. 64) และส่วนต่อขยาย 2 ช่วงแบริ่ง – เคหะสมุทรปราการและช่วงหมอชิต – สะพานใหม่ – คูคต (เดินรถช่วง เม.ย. 2560-พ.ค. 2564) จำนวนเงิน 14,476 ล้านบาท

 

จนมาถึงการฟ้องร้องคดีปัจจุบัน คือ หนี้ค้างชำระ การเดินรถไฟฟ้า ส่วนต่อขยาย 1 ช่วงอ่อนนุช – แบริ่งและช่วงสะพานตากสิน – บางหว้า และ ส่วนต่อขยาย 2 ช่วงแบริ่ง – เคหะสมุทรปราการและช่วงหมอชิต – สะพานใหม่ – คูคต ในช่วงเวลา ตั้งแต่ มิ.ย. 2564 ‐ ต.ค. 2565 ซึ่งศาลปกครองกลางเพิ่งมีคำพิพากษาออกมาในวันนี้ ซึ่งยอดหนี้ที่กทม.และ บริษัทกรุงเทพธนาคม ต้องชำระพร้อมดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นทุกวัน ถูกจับตาว่าจะกระทบต่องบประมาณกทม.และแผนการพัฒนากทม.ขนาดไหน

นอกจากนั้นระหว่าง กทม.-บริษัทกรุงเทพธนาคม ยังมีมูลหนี้ค้างจ่ายค่าเดินรถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงเวลาหลัง ต.ค. 2565 ถึงปัจจุบัน รวมแล้วอีกกว่า 30,000-40,000 ล้านบาท

 

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ข่าวล่าสุด

มุกดาหาร 'เลขาดำ' แจกถุงปันสุข และเลี้ยงโต๊ะจีนช้าง เนื่องในวันคล้ายวันเกิด
108 ปี วันพระราชทานธงชาติไทย ปากพนังร่วมร้องเพลงชาติไทยพร้อมเพรียง
ทหารผ่านศึกหนุนใจแนวหน้า มอบสิ่งของ-เลี้ยงอาหาร ทหารสร้างถนนเลียบชายแดนจันทบุรี
"ว่าที่ ผบ.ทร.คนใหม่" ชูธงสานต่อเรือดำน้ำ-เรือฟริเกต พร้อมผลักดันเทคโนโลยีใหม่ ยกระดับป้องกัน จะรักษาเส้นเขตแดน ไม่ให้ใครลุกล้ำ
กกต.สรุปผลเลือกตั้งซ่อม สส.ศรีสะเกษ เขต 5 “จินณ์ตวรรณ” ผู้สมัครจากภูมิใจไทยคว้าชัยชนะ เล็งประกาศรับรองผลใน 60 วัน
อบต.มะเกลือเก่า คว้ารางวัลศูนย์เรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียงดีเด่น ผนึกพลังทุกภาคส่วนสานต่อศาสตร์พระราชา

ดู LIVE รายการ

เราใช้ คุ้กกี้ เพื่อให้ทุกคนได้ประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น​