
เนื่องจากมีกลุ่มเกษตรกรกว่า 30 คน รวมตัวกันรอร้องทุกข์ ซึ่งมี นายไพฑรูย์ สิงโตทอง อายุ 58 ปี ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 7 บ้านหนองขนาก ต.เขาเจ็ดลูก อ.ทับคล้อ จ.พิจิตร , นายสุวิเศษศักดิ์ ระงับภัย ชาวบ้านหมู่ 2 บ้านเขาตะพานนาก ต.เขาเจ็ดลูก อ.ทับคล้อ จ.พิจิตร , นายโกเมต ด้วงหิรัญ ชาวบ้านหมู่ 1 ต.เขาเจ็ดลูก อ.ทับคล้อ จ.พิจิตร ซึ่งเป็นแกนนำชาวบ้านและประธานกลุ่มวิสาหกิจชุมชนแปลงใหญ่ที่ให้ข้อมูลถึงความทุกข์ความเดือดร้อนว่าพวกตนเป็นชาวนาปกติก็มีหนี้สินจากการทำนาและราคาข้าวที่ตกต่ำ กระทั่งเมื่อช่วงปี 2565 ได้มีผู้จัดการ ธ.ก.ส. สาขาทับคล้อ มาเข้าร่วมจัดการประชุมชาวบ้าน โดยเสนอนโยบายโครงการของรัฐบาลที่ให้เงินกู้ 1 ล้าน เสียดอกเบี้ย 100 บาท/ปี แต่เกษตรกรต้องรวมตัวตั้งเป็นกลุ่มวิสาหกิจชุมชนที่ต้องมีสมาชิก 7 – 10 คน (ซึ่งมีกลุ่มเลี้ยงโคขุน 22 กลุ่ม กลุ่มผลิตอาหารสัตว์ 3 กลุ่ม รวมเกษตรกรกว่า 200 ครอบครัว วงเงินเกือบ 50 ล้านบาทที่เป็นปัญหาและเกิดการร้องทุกข์ในครั้งนี้) ซึ่งการที่จะได้รับเงินกู้จาก ธ.ก.ส. กลุ่มละไม่เกิน 3 ล้านบาท โดยเสนอให้ทำโครงการเลี้ยงโคขุน 4 เดือน ขายได้และจะมีผู้รับซื้อซึ่ง ธ.ก.ส.ประสานงานติดต่อด้านการตลาดให้ด้วย

จากนั้นสมาชิกกลุ่มวิสาหกิจชุมชนเห็นว่า เป็นโครงการที่จะทำให้มีรายได้เพิ่มจึงสมัครเข้าร่วมโครงการและกู้เงิน ผู้จัดการ ธ.ก.ส .สาขาทับคล้อ ก็พาไปอบรมเรียนรู้ดูงานที่ฟาร์มเลี้ยงโคขุนของบริษัทเอกชน ซึ่งตั้งอยู่ที่ อ.ตะพานหิน จ.พิจิตร มีวิทยากรบรรยายโครงการสวยหรู โดยได้เชิญบริษัทเอกชนผู้ซื้อจากประเทศมาเลเซีย , เวียดนาม ว่าจะเป็นผู้ซื้อ เมื่อจบขบวนการฝึกอบรมเรียนรู้ดูงานทำสัญญาเงินกู้เสร็จ ธ.ก.ส. ก็ประสานบริษัทเอกชน รายดังกล่าวจัดหาโคขุนมาให้เลี้ยง โดยสมาชิก 1 ราย มีสิทธิ์ได้แค่ขอเบิกเงิน 3-5 หมื่น มาทำคอกวัวที่หัวไร่ปลายนาของตนเอง

จากนั้นก็จะได้รับวัวมาเลี้ยง 7 – 10 ตัว บางคนก็ได้วัวตัวสมบูรณ์ บางคนก็ได้วัวแคระ แต่ชาวบ้านไม่กล้ามีปากเสียง จึงยอมตรวจรับโคขุนและก้มหน้าเลี้ยงตั้งใจหวังว่าจะจับขายได้เงินได้กำไร ในช่วงระหว่างที่เลี้ยง เจ้าหน้าที่ ธ.ก.ส. ก็ประสานให้บริษัทเอกชนส่งวัตถุดิบให้กลุ่มวิสาหกิจชุมชนอีกกลุ่มหนึ่งซึ่งก็เป็นเกษตรกรในกลุ่มผู้เลี้ยงโคขุน เป็นผู้ดำเนินการผลิตอาหารสัตว์ส่งยังกลุ่มสมาชิกและเครือข่ายเฉพาะในเขต อ.ทับคล้อ เกือบสิบกลุ่มที่ต้องใช้อาหารสัตว์ แต่ปรากฏว่าเมื่อนำสูตรอาหารสัตว์ไปให้นักโภชนาการสัตวบาลตรวจหาคุณค่าสารอาหารปรากฎว่าวัตถุดิบที่ได้มาและสูตรที่ใช้ไม่ได้ส่งผลต่อการเจริญเติบโตของโคขุนที่เลี้ยง

กลุ่มผู้เลี้ยงโคขุน จึงเปลี่ยนสูตรอาหารและจัดหาวัตถุดิบเอง เมื่อครบ 4 เดือน บริษัทและผู้ซื้อจากต่างประเทศที่เมื่อตอนเข้าโครงการแสดงเจตนาจะซื้อในราคา กก.ละ 95 บาท ตามข้อตกลง MOU ของ ธ.ก.ส. – บริษัทเอกชน – กลุ่มเกษตรกรผู้เลี้ยงโคขุน ก็ไม่มาซื้อยิ่งนานวันโคก็ต้องกินอาหารเลี้ยงนานต่อไปก็จะขาดทุน จากนั้นผู้จัดการ ธ.ก.ส.ทับคล้อ ก็แนะนำและบอกกลุ่มเกษตรกรว่าให้ไปยกเลิกข้อตกลง MOU เพื่อนำโคขุนไปขายตามตลาดนัดโคขุน จะได้เอาเงินมาใช้หนี้ ธ.ก.ส. เกษตรกรผู้เลี้ยงโคขุนจึงต้องนำวัวไปเร่ขาย ซึ่งในช่วงนั้นอยู่ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิดจึงขายวัวได้แค่ กก.ละ 80-85 บาท จึงทำให้ขาดทุนย่อยยับและกลายเป็นหนี้ท่วมตัวทั้งๆที่ไม่เคยได้จับเงินในบัญชีเงินกู้ดังกล่าวเลย ซึ่งรวมๆแล้วประมาณ 22 กลุ่ม ยอดเงินที่เป็นหนี้รวมประมาณ 50 ล้านบาทดังกล่าว

นายสุทัศน์ ฟองคำ ผู้อำนวยการสำนักงาน ธ.ก.ส.จังหวัดพิจิตร , นายดำรงเกียรติ ทองเครือมา ผู้ช่วย ผอ.ธ.ก.ส. จังหวัดพิจิตร ได้ร่วมกันชี้แจงว่า โครงการดังกล่าวคือ โครงการธุรกิจชุมชนสร้างไทยสู้ภัยโควิดตามมติ ค.ร.ม. เมื่อวันที่ 26 ม.ค. 62 ซึ่ง ธ.ก.ส. มีมติสนับสนุนนโยบายของรัฐเพื่อเป็นการช่วยเหลือเกษตรกรที่นอกเหนือจากการทำนามีโครงการให้สินเชื่อเงินกู้ 1 ล้าน ดอกเบี้ย 100/ปี มีโปรโมชั่น 3 ปี กติกา คือ เกษตรกรรวมกลุ่มมีสมาชิก มีประธาน มีเลขาฯ ขับเคลื่อนโดยใช้มติของกลุ่มในการเข้าโครงการเลี้ยงโคขุน







