“กรมส่งเสริมการเกษตร” พัฒนากาแฟภาคเหนือด้วยความรู้และนวัตกรรม ถ่ายทอดเทคโนโลยีที่เหมาะสม สร้างคุณค่า เพิ่มศักยภาพสู่ตลาดสากล

"กรมส่งเสริมการเกษตร" พัฒนากาแฟภาคเหนือด้วยความรู้และนวัตกรรม ถ่ายทอดเทคโนโลยีที่เหมาะสม สร้างคุณค่า เพิ่มศักยภาพสู่ตลาดสากล

กาแฟภาคเหนือของประเทศไทยมีบทบาทสำคัญในฐานะพืชเศรษฐกิจสำคัญที่หล่อเลี้ยงชีวิตเกษตรกรหลายหมื่นครัวเรือน และเป็นสัญลักษณ์ของการพัฒนาอย่างยั่งยืนที่เชื่อมโยงผู้คนเข้ากับธรรมชาติและป่าไม้ แต่สิ่งที่ทำให้กาแฟภาคเหนือแตกต่างจากอดีตคือ การพัฒนาอย่างเป็นระบบที่อาศัยองค์ความรู้ เทคโนโลยี และนวัตกรรม มายกระดับคุณภาพในทุกห่วงโซ่การผลิต ตั้งแต่การเพาะปลูก การจัดการแปลง การแปรรูป ไปจนถึงการสร้างแบรนด์และการตลาด เพื่อให้กาแฟไทยสามารถยืนหยัดได้ในตลาดพรีเมียมทั้งในและต่างประเทศ

 

 

 

 

ยกระดับคุณภาพการผลิต

การพัฒนากาแฟภาคเหนือของกรมส่งเสริมการเกษตร จะยึดแนวทางการพัฒนาแบบยึดหลักการที่เหมาะสมกับพื้นที่ ซึ่งแต่ละพื้นที่จะมีความเป็นอัตลักษณ์ที่แตกต่างกันออกไป รวมถึงเน้นการดึงเอาศักยภาพที่โดดเด่นของเกษตรกร กลุ่มเกษตรกรที่ได้รับการพัฒนาความรู้ เทคโนโลยี และทักษะที่จำเป็นออกมาเป็นตัวนำในการพัฒนาการผลิต ทำให้เกิดเรื่องราวการพัฒนาที่น่าสนใจ อาทิ

 

 

 

ในจังหวัดแพร่ เกษตรกรได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีการปลูกกาแฟแบบผสมผสานและการปลูกใต้ร่มเงาไม้ใหญ่ (Shade Grown Coffee) ซึ่งช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมควบคู่ไปกับการสร้างรายได้ นอกจากนี้ยังมีการอบรมด้านการจัดการดิน การควบคุมโรคแมลงด้วยชีวภัณฑ์ ตลอดจนการเก็บเกี่ยวและการดูแลหลังการเก็บเกี่ยวที่ถูกต้องตามหลักวิชาการ ทำให้เกษตรกรสามารถเพิ่มปริมาณผลผลิตและได้คุณภาพเมล็ดกาแฟตรงตามความต้องการของตลาด

 

 

 

ข่าวที่น่าสนใจ

นอกจากแพร่แล้ว หลายพื้นที่ในภาคเหนือยังได้แสดงให้เห็นถึงแนวทางการพัฒนาที่สอดคล้องกับจุดแข็งของแต่ละท้องถิ่น ตัวอย่างของกลุ่มกาแฟแม่เหาะ จังหวัดแม่ฮ่องสอน เน้นการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีควบคู่กับภูมิปัญญาดั้งเดิม โดยเริ่มตั้งแต่การตรวจวิเคราะห์และปรับปรุงดิน การใช้สารชีวภัณฑ์ในการควบคุมศัตรูพืช ไปจนถึงการจัดการสวนอย่างเป็นระบบ ส่งผลให้กาแฟมีคุณภาพสม่ำเสมอและสามารถเข้าสู่ตลาดกาแฟพิเศษ (Specialty Coffee) ได้

ส่วนที่จังหวัดน่าน กลุ่มกาแฟมณีพฤกษ์เลือกที่จะสร้างคุณค่าผ่าน “การทำแบรนด์” โดยใช้การเล่าเรื่องราวของชุมชน การออกแบบบรรจุภัณฑ์ที่มีเอกลักษณ์ และการประชาสัมพันธ์ที่สะท้อนอัตลักษณ์ท้องถิ่น ทำให้กาแฟไม่ได้เป็นเพียงสินค้า แต่กลายเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีเรื่องเล่าและมีคุณค่าทางใจสำหรับผู้บริโภค

 

 

 

 

 

 

 

ขณะที่กาแฟบ้านดอยผักกูด จังหวัดแม่ฮ่องสอน ซึ่งนำโดยนายชาติชาย คะบู่ ได้พิถีพิถันกับ “การจัดการหลังการเก็บเกี่ยว” เพราะตระหนักว่าคือหัวใจสำคัญของคุณภาพกาแฟ เริ่มตั้งแต่การคัดผลเชอร์รี่ที่สุกเต็มที่ การเลือกกระบวนการแปรรูปที่เหมาะสม ไม่ว่าจะเป็น Washed, Honey หรือ Natural Process ไปจนถึงการตากและการคั่วที่ควบคุมคุณภาพอย่างละเอียด ทำให้กาแฟที่ได้มีรสชาติกลมกล่อม หอมละมุน และเป็นที่ต้องการของตลาดกาแฟพิเศษ นอกจากนี้ นายชาติชายยังใช้หลัก เกษตรกรรมแบบธรรมชาติควบคู่กับการอนุรักษ์ป่า โดยไม่ทำลายดิน มีการบำบัดน้ำ และจัดการเศษวัสดุเหลือใช้โดยไม่เผา ซึ่งเป็นการทำเกษตรที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม การจัดการดังกล่าวช่วยรักษาสิ่งแวดล้อม ลดผลกระทบต่อระบบนิเวศ และส่งเสริมความยั่งยืนควบคู่ไปกับการสร้างรายได้จากกาแฟคุณภาพสูง ทำให้กาแฟที่ได้เป็นที่ต้องการของตลาดกาแฟพิเศษ

 

 

 

 

 

เกษตรกรต้นแบบและการต่อยอด

ความสำเร็จของกาแฟภาคเหนือไม่ได้เกิดจากองค์ความรู้เพียงอย่างเดียว หากแต่เกิดจากการลงมือปฏิบัติจริงของเกษตรกรตัวอย่างที่สามารถนำความรู้ไปต่อยอดได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ตัวอย่างเช่น นางสาวธนพร คีรีคามสุข จากจังหวัดเชียงราย ที่เริ่มต้นจากการขายกาแฟเชอร์รี่ดิบเพียงอย่างเดียว แต่หลังจากเข้ารับการอบรมและเรียนรู้เรื่องการคั่วและการชิม (Cupping) รวมถึงการสร้างแบรนด์และพบปะลูกค้าโดยตรง เธอสามารถสร้างธุรกิจที่ครบวงจรขึ้นมาได้สำเร็จ อีกทั้งยังริเริ่มการผลิตคราฟท์เบียร์จากเปลือกกาแฟ (Cascara) ซึ่งนอกจากจะช่วยลดของเสียในกระบวนการผลิตแล้ว ยังสร้างความหลากหลายของสินค้าและเพิ่มมูลค่าได้อย่างมีนัยสำคัญ

ในจังหวัดแม่ฮ่องสอน นายศิริโรจน์ พิทักษ์วนาศิริ คือนักพัฒนาเกษตรที่นำความรู้จากการอบรมมาประยุกต์ใช้ในการผลิตกาแฟหลายรูปแบบ ทั้งกาแฟกะลา กาแฟสาร และกาแฟคั่วคุณภาพสูง เขายังมีแผนขยายสู่การท่องเที่ยวเชิงวิถีชีวิต โดยเปิด โฮมสเตย์ให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสประสบการณ์การทำกาแฟตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ ซึ่งจะเป็นอีกหนึ่งแนวทางสร้างรายได้เสริมให้ชุมชน พร้อมทั้งถ่ายทอดความรู้และคุณค่าของกาแฟไทยให้กับผู้มาเยือน

 

 

 

ความยั่งยืนและอนาคตของกาแฟภาคเหนือ

การพัฒนากาแฟภาคเหนือในวันนี้ไม่ใช่การเน้นปริมาณผลผลิต หากแต่เป็นการสร้างคุณภาพ การใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสม การสร้างมูลค่าเพิ่มผ่านการสร้างแบรนด์ และการรักษาสิ่งแวดล้อมไปพร้อมกัน รวมถึงการวางระบบเพื่อให้การผลิตกาแฟไทยสามารถรองรับกับกฎระเบียบของประเทศคู่ค้า โดยเฉพาะ EUDR ที่เน้นการมีระบบตรวจสอบย้อนกลับ เพื่อยืนยันว่ากาแฟที่ส่งออกไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการทำลายป่า ด้วยการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศภูมิศาสตร์ (GIS) และแอปพลิเคชันที่เกี่ยวข้องมาสนับสนุนการลงทะเบียนแหล่งปลูก จะช่วยในการจัดทำข้อมูลให้เป็นไปตามข้อกำหนดของประเทศผู้นำเข้าได้ ซึ่งความพยายามเหล่านี้ไม่สามารถดำเนินการได้เพียงฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แต่ต้องเกิดจากการบูรณาการของทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องอย่างจริงจังและต่อเนื่อง ทั้งภาครัฐ เอกชน สถาบันการศึกษา และเกษตรกร เพื่อทำให้กาแฟภาคเหนือก้าวข้ามจากการเป็นเพียงสินค้าเกษตร ไปสู่การเป็นผลิตภัณฑ์เชิงคุณค่าที่สามารถแข่งขันในตลาดสากล

กาแฟที่เติบโตบนดอยสูงจึงไม่ได้ส่งมอบเพียงกลิ่นหอมและรสชาติกลมกล่อม แต่ยังเป็นตัวแทนของเรื่องราว ความพยายาม และความมุ่งมั่นของผู้คนในชุมชนที่เชื่อว่าความรู้และนวัตกรรมจะนำไปสู่อนาคตที่ยั่งยืน กาแฟภาคเหนือจึงกลายเป็นมากกว่าพืชเศรษฐกิจ แต่เป็นสัญลักษณ์ของการพัฒนาไทย ที่ก้าวไกลสู่สายตาชาวโลกด้วยคุณภาพและเรื่องเล่าที่ไม่เหมือนใคร

 

 

 

 

 

 

 

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ข่าวล่าสุด

มอบสิ่งของพระราชทานแก่ราษฏรผู้ประสบภัยในพื้นที่ อ.ปาย จ.แม่ฮ่องสอน
ทหารช่วยชาวบ้านกรอกกระสอบทรายป้องกันน้ำท่วม
เสิร์ฟหมูกะทะ 100 ชุด เติมพลังแนวหน้าชายแดน รักษาอธิปไตยไทย
รองผู้ว่าฯปากน้ำโพ!!!! ลุยถุงยังชีพผู้ประสบภัยน้ำท่วม
ร่วมขับเคลื่อน “120 วัน วาระพืชกระท่อม” สู่พื้นที่ปลอดสิ่งเสพติด
"บช.ภ.2 " ระดมกำลัง ตร.ควบคุมฝูงชนรับมือ "ม็อบเขมร" หลังพบความเคลื่อนไหวทยอยรวมตัวเตรียมป่วนอีกรอบ

ดู LIVE รายการ

เราใช้ คุ้กกี้ เพื่อให้ทุกคนได้ประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น​