ศาลอาญาฯ รับฟ้อง เอาผิด “วัชรพล” พร้อม 4 กรรมการป.ป.ช. ไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาศาลฯ เปิดสำนวนนาฬิกา”บิ๊กป้อม”
ข่าวที่น่าสนใจ
10 ก.ย. 2568 ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 1 ได้เผยแพร่เอกสารข่าวแจก กรณีที่ ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 1 รับฟ้องจำเลยจำนวน 4 คน รวมถึงพลตำรวจเอกวัชรพล ประสารราชกิจ อดีตประธานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)และยกฟ้องนายนิวัติไชย เกษมมงคล อดีตเลขาธิการ ป.ป.ช. ในคดีที่นายวีระสมความคิดเป็นโจทก์ ฟ้องนายนิวัติไชย กับพวกที่เป็นคณะกรรมการ ป.ป.ช. และผู้บริหารในสำนักงาน ป.ป.ช. รวม 12 คน
โดยรายละเอียดข่าวแจกมีดังต่อไปนี้
ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 1 อ่านคำสั่งคดีหมายเลขดำที่ อท 95/2567 ระหว่าง นายวีระ สมความคิด โจทก์ นายนิวัติไชย เกษมมงคล อดีตเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) จำเลยที่ 1 กับพวกที่เป็นคณะกรรมการ ป.ป.ช. และผู้บริหารในสำนักงาน ป.ป.ช. รวม 12 คน กรณีโจทก์ขอให้เปิดเผยข้อมูลในสำนวนการไต่สวนข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการจงใจแสดงรายการทรัพย์สินอันเป็นเท็จ (กรณีกล่าวหา พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ อดีตรองนายกฯ เมื่อครั้งเกิดกรณี “นาฬิกาหรู”)
โดยโจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นประธานเครือข่ายประชาชนต้านคอร์รัปชัน จำเลยที่ 1 เป็นเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ.ตั้งแต่ปี 2564 ถึงปัจจุบัน จำเลยที่ 2 เป็นเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ตั้งแต่วันที่ 24 ธันวาคม 2560 ถึงปี 2564 ขณะเกิดเหตุเดือนตุลาคม 2562 จำเลยที่ 2 เป็นเลขาธิการ และหลังจากศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาถึงที่สุด ในปี 2566 จำเลยที่ 1 เป็นเลขาธิการถึงปัจจุบัน จำเลยที่ 3 ถึงที่ 12 ประกอบด้วย พลตำรวจเอก ดร.วัชรพล ประสารราชกิจ จำเลยที่ 3 นายปรีชา เลิศกมลมาศ จำเลยที่ 4 พลตำรวจเอก สถาพร หลาวทอง จำเลยที่ 5 นายณรงค์ รัฐอมฤต จำเลยที่ 6 นางสาวสุภา ปิยะจิตติ จำเลยที่ 7 นายวิทยา อาคมพิทักษ์ จำเลยที่ 8 นางสุวณา สุวรรณจูฑะ จำเลยที่ 9 พลเอก บุณยวัจน์ เครือหงส์ จำเลยที่ 10 นายณัฐจักร ปัทมสิงห์ ณ อยุธยา จำเลยที่ 11 และนายสุชาติ ตระกูลเกษมสุข จำเลยที่ 12 เป็นคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ คณะกรรมการ ป.ป.ช.
ขณะเกิดเหตุเดือนตุลาคม ปี 2562 มีจำเลยที่ 3 ถึงที่ 10 เป็นคณะกรรมการ ป.ป.ช.และหลังจากศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาถึงที่สุดในปี 2566 มีจำเลยที่ 3, ที่ 7, ที่ 8, ที่ 9, ที่ 11 และที่ 12 เป็นคณะกรรมการ ป.ป.ช. โจทก์มีหนังสือถึงจำเลยที่ 3 ถึงที่ 10 ขอให้ไต่สวนพลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ กรณีจงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราย โดยไม่แสดงว่ามีนาฬิกาข้อมือมือราคาแพงจำนวนมาก และแหวนประดับมีค่าหลายรายการ แต่จำเลยที่ 3 ถึงที 10 มีมติไม่รับเรืองดังกล่าวไว้ไต่สวนข้อเท็จจริง
โจทก์ขอข้อมูลข่าวสารของราชการเกี่ยวกับสำนวนการไต่สวนข้อเท็จจริงกรณีดังกล่าว 3 รายการคือ
รายงานการแสวงหาข้อเท็จจริงและรวบรวมพยานหลักฐานเอกสารทั้งหมด
ความเห็นของพนักงานเจ้าหน้าที่ ป.ป.ช. ทุกคนที่รับผิดขอบในเรื่องกล่าวหาดังกล่าว
รายงานการประชุมของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ที่เกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว
จำเลยที่ 3 ถึงที่ 10 ในฐานะคณะกรรมการ ป.ป.ช. ขณะนั้น พิจารณาแล้วมีมติไม่ให้เปิดเผยรายงานการประชุมบันทึกเสนอรายงานผลการตรวจสอบและเอกสารประกอบที่เกี่ยวข้อง เนื่องจากเห็นว่าเป็นความเห็น หรือคำแนะนำภายในหน่วยงานของรัฐในการดำเนินการเรื่องใดเรื่องหนึ่งอันเป็นข้อมูลข่าวสารตามพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสาวสารของราชการ พ.ศ. 2540 มาตรา 15 วรรค 1 (3) ทั้งยังอยู่ระหว่างการดำเนินการตรวจสอบเรื่องกล่าวหาพลเอก ประวิตร ว่าเป็นเจ้าพนักงานของรัฐรับทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดอันอาจคำนวณเป็นเงินได้ เรื่องกล่าวหาว่า มีพฤติการณ์ร่ำรวยผิดปกติ ซึ่งต้องห้ามไม่ให้เปิดเผยตามมาตรา 36 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 จึงเป็นข้อมูลข่าวสารที่เจ้าหน้าที่ของรัฐอาจมีคำสั่งมีให้เปิดเผยได้ ตามพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540 มาตรา 15 (6)
โจทก์อุทธรณ์คำสั่งที่ไม่ให้ให้เปิดเผยข้อมูลข่าวสารต่อคณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสาวสาร ต่อมาคณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารสาขาสังคม การบริหารราชการแผ่นดินและการบังคับใช้กฎหมายมีคำวินิจฉัยที่ สค 333/2562 ลงวันที่ 22 สิงหาคม 2562 ให้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติเปิดเผยข้อมูลข่าวสารทั้งสามรายการดังกล่าว
โจทก์ไปขอรับข้อมูลข่าวสาร แต่จำเลยที่ 3 ถึงที่ 10 มีมติให้ข้อมูลบางรายการ แต่ต้องปกปิดบางส่วน และข้อมูลบางรายการต้องขออนุญาตจากพยานเสียก่อน โจทก์ฟ้องสำนักงาน ป.ป.ช. และคณะกรรมการ ป.ป.ช. ต่อศาลปกครองชั้นต้น ศาลปกครองกลางพิพากษาให้ผู้ถูกฟ้องทั้งสองเปิดเผยข้อมูลข่าวสารรายการที่ 1 รายการที่ 2 เฉพาะความเห็นของเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. ที่เสนอประกอบการพิจารณาของจำเลยที่ 3 ถึงที่ 10 และรายการที่ 3 แก่โจทก์ตามคำวินิจฉัยของคณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสาวสารสาขาสังคมการบริหารราชการแผ่นดินและการบังคับใช้กฎหมาย
ผู้ฟ้องคดีและผู้ถูกฟ้องทั้งสองไม่เห็นด้วยกับคำพิพากษาขอศาลปกครองชั้นต้น จึงอุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุด ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาให้ผู้ถูกฟ้องทั้งสองเปิดเผย ข้อมูลข่าวสารทั้งสามรายการตามคำวินิจฉัยของคณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารสาชาชาสังคมการบริหารราชการแผ่นดินและการบังคับใช้กฎหมาย แต่จำเลยที่ 1, ที่ 3, ที่ 7, ที่ 8, ที่ 9, ที่ 11 และที่ 12 ไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด
ระหว่างพิจารณาโจทก์ถอนฟ้องจำเลยที่ 4 ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 1 อนุญาต และจำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 4 ออกจากจากสารบบความ ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 1 ไต่สวนแล้วมีคำสั่งว่า พฤติการณ์ที่จำเลยที่ 3 ถึงที่ 10 พิจารณาหนังสือของโจทก์ที่ขอข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับสำนวนการไต่สวนข้อเท็จจริง กรณีการกล่าวหา พลเอก ประวิตร จงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินอันอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบสามรายการ ดังกล่าวแล้วมีมติไม่ให้เปิดเผยเอกสารตามที่โจทก์ขอ
เนื่องจากเห็นว่าเป็นความเห็นหรือคำแนะนำภายในหน่วยงานของรัฐ ในการดำเนินการเรื่องหนึ่งเรื่องใด ตามพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ.ศ.2540 มาตรา 15 (3) และยังอยู่ระหว่างการดำเนินการตรวจสอบเรื่องกล่าวหาพลเอก ประวิตร ว่าเป็นเจ้าพนักงานของรัฐรับทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดอันอาจคำนวณเป็นเงินได้ และเรื่องกล่าวหาว่า มีพฤติการณ์ร่ำรวยผิดปกติ ซึ่งต้องห้ามมีให้เปิดเผย ตามพระบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 36 จึงเป็นข้อมูลข่าวสารที่เจ้าหน้าที่ของรัฐอาจมีคำสั่งมิให้เปิดเผยได้ ตามพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540 มาตรา 15 (6)
เป็นกรณีที่จำเลยที่ 3 ถึงที่ 10 ประชุมพิจารณามีความเห็นแล้วลงมติตามที่พระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ.ศ. 2540 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง ( 3) (6) และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 326 ให้อำนาจจำเลยที่ 3 ถึงที่ 10 ใช้ดุลพินิจพิจารณาและลงมติได้ เมื่อโจทก์ไม่เห็นด้วยกับมติดังกล่าว พระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ.2540 มาตรา 18 ให้สิทธิโจทก์ยื่นคำอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารได้ ซึ่งโจทก์ยื่นอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการดังกล่าว และคณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารสาขาสังคม การบริหารราชการแผ่นดินและการบังคับใช้กฎหมาย มีคำวินิจฉัยที่ สค 333/2562 ลงวันที่ 22 สิงหาคม 2562 ให้สำนักงานคณะกรรมการ ป.ป.ช.เปิดเผยข้อมูลข่าวสารตามที่โจทก์ขอ
แต่จำเลยที่ 3 ถึงที่ 10 ในฐานะคณะกรรมการ ป.ป.ช.มีมติให้ข้อมูลบางรายการ แต่ต้องปิดบางส่วน หรือข้อมูลบางรายการต้องขออนุญาตจากพยานเสียก่อน แต่มิได้กำหนดวันที่จะให้ข้อมูลข่าวสารแก่โจทก์ เมื่อโจทก์ขอให้คณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการบังคับสำนักงานคณะกรรมการ ป.ป.ช.โดยจำเลยที่ 2 ปฏิบัติตามคำวินิจฉัยของคณะกรรมการข้อมูล ข่าวสารของราชการ ซึ่งผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการมีหนังสือแจ้งโจทก์ว่า สำนักงานคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการมีหนังสือแจ้งให้สำนักงานคณะกรรมการ ป.ป.ช. ปฏิบัติตามคำวินิจฉัย และหากโจทก์ยังไม่ได้รับข้อมูลข่าวสารครบถ้วนโจทก์สามารถใช้สิทธิฟ้องต่อศาลปกครอง
ต่อมาโจทก์ฟ้องสำนักงาน ป.ป.ช.และคณะกรรมการ ป.ช.ช.ต่อศาลปกครองแล้ว กระบวนการพิจารณาของจำเลยที่ 3 ถึงที่ 10 ในการประชุม พิจารณา มีความเห็นและลงมติเกี่ยวกับการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารที่โจทก์ขอ หรือการประชุมพิจารณา มีความเห็นและลงมติเกี่ยวกับการปฏิบัติตามคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลปกครองชั้นต้น ก่อนศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 21 เมษายน 2566 เป็นวิธีการที่จำเลยที่ 3 ถึงที่ 10 ใช้ดุลพินิจพิจารณามีความเห็น และลงมติเกี่ยวกับวิธีปฏิบัติตามคำวินิจฉัยของคณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารสาขาสังคม การบริหารราชการแผ่นดินและการบังคับใช้กฎหมาย ตามพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ.2540 หรือต้องดำเนินการตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.ศ.2561
ซึ่งจำเลยที่ 3 ถึงที่ 10 เห็นว่าเป็นกฎหมายเฉพาะและยังไม่มีข้อยุติในขณะนั้น ทำให้จำเลยที่ 3 และที่ 5 ถึงที่ 10 ใช้ดุลพินิจพิจารณาไปตามที่พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 บัญญัติไว้ก่อนศาลปกครองสูงสูงสุดจะมีคำวินิจฉัยในประเด็นที่โจทก์และจำเลยที่ 3 ถึงที่ 10 โต้แย้งและมีความเห็นไม่ตรงกันดังกล่าว
ดังนั้น การที่จำเลยที่ 3 และที่ 5 ถึงที่ 10 ใช้คลพินิจพิจารณาและมีมติเกี่ยวกับคำขอให้เปิดเผยข้อมูลข่าวสารของโจทก์ โดยเห็นว่าต้องปฏิบัติตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.ศ.2561 บัญญัติไว้ ยังฟังไม่ได้ว่าเป็นการปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต
ที่โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 3 และที่ 5 ถึงที่ 10 ว่ากระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ประกอบมาตรา 83 ในช่วงเวลาก่อนศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาจึงไม่มีมูล สำหรับจำเลยที่ 2 ในฐานะเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. ระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทจริต พ.ศ.2561 มาตรา 148 และมาตรา 151 กำหนดให้เลขาธิการรับผิดชอบปฏิบัติงานโดยขึ้นตรงต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. และต้องปฏิบัติงานตามมติคณะกรรมการ ป.ป.ช. การดำเนินการใด ๆ เกี่ยวกับเรื่องข้อมูลข่าวสารที่โจทก์ขอ จำเลยที่ 2 ต้องปฏิบัติตามมติของคณะกรรมการ ป.ป.ช.
ข้อเท็จจริงจากการไต่สวนฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2 กระทำไปโดยลำพัง แต่ฟังได้ว่าจำเลยที่ 2 ปฏิบัติตามมติของคณะกรรมการ ป.ป.ช.เกี่ยวกับการเปิดเผยหรือไม่เปิดเผยเอกสารที่โจทก์ขอ การกระทำของจำเลยที่ 2 ที่ปฏิบัติตามมติของคณะกรรมการ ป.ป.ช. จึงมีใช่เป็นการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดหรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157
ดังนั้น ที่โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 5 ถึงที่ 10 ว่ากระทำความผิดในช่วงเวลาก่อนศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาจึงไม่มีมูล แต่หลังจากศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 21 เมษายน 2566 คำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดย่อมผูกพันสำนักงานคณะกรรมการ ป.ป.ช. และคณะกรรมการ ป.ป.ช.
ข้อเท็จจริงจากการไต่สวนได้ความว่า จำเลยที่ 1, ที่ 3, ที่ 7, ที่ 8, ที่ 9, ที่ 11 และที่ 12 ยังมิได้ปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดที่พิพากษาให้เปิดเผยข้อมูลข่าวสารทั้งสามรายการ ตามคำวินิจฉัยของคณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารสาขาสังคม การบริหารราชการแผ่นดินและการบังคับใช้กฎหมายที่ สค.333/2562 แก่โจทก์ ภายใน 15 วันนับแต่วันที่ศาลปกครองสูงสุดมีพิพากษา โดยจำเลยที่ 1, ที่ 3, ที่ 7, ที่ 8, ที่ 9 ,ที่ 11 และที่ 12 ต้องปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญและกฎหมาย ตามที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560 มาตรา 215 บัญญัติไว้
ได้ความจากมติการประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช.ครั้งที่ 45/2566 ลงวันที่ 25 เมษายน 2566 ว่าที่ประชุมรับทราบคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด คดีหมายเลขดำที่ อ.789/2564 คดีหมายเลขแดงที่ อ.224/2566 แต่จำเลยที่ 3, ที่ 7, ที่ 8, ที่ 9, และที่ 11 ซึ่งเป็นคณะกรรมการ ป.ป.ช.ฝ่ายเสียงข้างมาก มีมติให้มีหนังสือชี้แจง หรือขอพิจารณาคดีใหม่ต่อศาลปกครองสูงสุด พร้อมกับขอทุเลาการบังคับคดีตามคำพิพากษา และมีหนังสือขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2561 ส่วนจำเลยที่ 12 ฝ่ายเสียงข้างน้อยเห็นควรดำเนินการตามคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด
และในการประชุมครั้งที่ 127/2566 ลงวันที่ 4 ธันวาคม 2566จำเลยที่ 3, ที่ 7, ที่ 8 ฝ่ายเสียงข้างมากมีมติให้เปิดเผยข้อมูลข่าวสาร แต่ให้ปกปิดข้อมูลส่วนบุคคลหรือข้อมูลที่เป็นรายละเอียดของผู้กล่าวหา ผู้แจ้งเบาะแส และพยาน โดยจำเลยที่ 9 และที่ 12 ฝ่ายเสียงข้างน้อยเห็นควรให้เปิดเผยข้อมูลข่าวสารตามคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด
พฤติการณ์การกระทำของจำเลยที่เลยที่ 3, ที่ 7, ที่ 8 และที่ 11 ที่ลงมติไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดดังกล่าว จึงมีมูลว่าเป็นการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบด้วยกฎหมายเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดหรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ประกอบมาตรา 83 ส่วนจำเลยที่ 9 และที่ 12 มีความเห็นแลงมติให้ปฏิบัติตามคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด การกระทำของจำเลยที่ 9 และที่ 12 จึงไม่มีมูลเป็นความผิดตามฟ้อง
ส่วนจำเลยที่ 1 เป็นเลขาธิการสำนักงาน ป.ป.ช.ซึ่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตพ.ศ.2561 มาตรา 148, 151 กำหนดให้เลขาธิการรับผิดชอบปฏิบัติงาน โดยขึ้นตรงต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. และต้องปฏิบัติงานตามมติคณะกรรมการ ป.ป.ช. การดำเนินการใด ๆ เกี่ยวกับเรื่องข้อมูลข่าวสารที่โจทก์ขอซึ่งข้อเท็จจริงจากการไต่สวน ฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 กระทำไปโดยลำพัง แต่ฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 ปฏิบัติตามมติของคณะกรรมการ ป.ป.ช.เกี่ยวกับการเปิดเผยหรือไม่เปิดเผยเอกสารที่โจทก์ขอ
การกระทำของจำเลยที่ 1 ที่ปฏิบัติตามมติของคณะกรรมการ ป.ป.ช. จึงมิใช่เป็นการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 จึงให้ประทับฟ้องจำเลยที่ 3, ที่ 7, ที่ 8 และที่ 11 ไว้พิจารณาต่อไป ยกฟ้องจำเลยที่ 1, ที่ 2, ที่ 5, ที่6, ที่ 9, ที่ 10 และที่ 12
สำหรับจำเลยทั้ง 12 คนประกอบไปด้วย
1. นายนิวัติไชย เกษมมงคล 2. นายวรวิทย์ สุขบุญ 3. พลตำรวจเอกวัชรพล ประสารราชกิจ 4. นายปรีชา เลิศกมลมาศ
5. พลตำรวจเอกสถาพร หลาวทอง 6.นายณรงค์ รัฐอมฤต 7.นางสาวสุภา ปียะจิตติ 8. นายวิทยา อาคมพิทักษ์ 9. นางสุวณา สุวรรณจูฑะ 10 พลเอก บุณยวัจน์ เครือหงส์ 11.นายณัฐจักร ปัทมสิงห์ ณ อยุธยา และ 12 นายสุชาติ ตระกูลเกษมสุข
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ข่าวล่าสุด
เราใช้ คุ้กกี้ เพื่อให้ทุกคนได้ประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น