“ชณทัต” ลุยจับมือ “เคนโด้ ช่วยด้วย” พาพยานบุคคลร้องสื่อตีแผ่ “โครงการกระปุกบุญ” ถวายเงินวัดพระบาทน้ำพุ พบพิรุธหัก 30% ให้กับประธานโครงการ

โดยเงินเหล่านี้ นอกจากมีที่มาจากการรับบริจาคที่หลวงพ่ออลงกตตระเวนไปตามที่ต่างๆ  การตั้งโครงการต่างๆ  และเงินบริจาคทางออนไลน์แล้ว ยังมีอีกหนึ่งเส้นทางที่น่าตกใจมาก คือ เงินจากกล่องบริจาคที่ไปปรากฏอยู่ในรถแท็กซี่ ซึ่งมีมานานกว่า 10 ปีแล้ว ในชื่อโครงการกระปุกบุญ ซึ่งล่าสุดมีโชเฟอร์แท็กซี่ที่รู้เห็นความไม่ชอบมาพากลของโครงการนี้ ได้ติดต่อมาต้องการให้ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องออกมาชี้แจง

ด้าน นายสุวรรณฉัตร พรหมชาติ โชเฟอร์แท็กซี่ เล่าว่า ตนเคยร้องเรียนเรื่องนี้มาก่อนแล้วตั้งแต่ 10 กว่าปีก่อน แต่เรื่องก็เงียบไป จนเห็นข่าวการตรวจสอบวัดพระบาทน้ำพุ จึงตัดสินใจออกมาเปิดเผยเรื่องนี้อีกครั้ง

ในตอนนั้น ประธานโครงการกระปุกบุญ ที่ชื่อ นายทองคำ ได้เชิญตนไปเป็นสมาชิกโครงการ โดยให้ไปรับกล่องบริจาคที่สถานีวิทยุแห่งหนึ่ง แล้วนำกล่องมาวางไว้บนรถ ซึ่งผ่านไปไม่กี่สัปดาห์เงินก็เต็มกล่องจนแทบยัดไม่ลง ผู้โดยสารขึ้นรถมาก็หยอดบริจาคกันครั้งละ 500-1,000 บาท

จนวันที่เอากล่องไปนับเงิน ตอนนั้นที่นับกันมี 36 กล่อง นีบรวมยอดได้กว่า 1 แสนบาท แต่ตนทราบมาว่าตอนนั้นมีการกระจายกล่องบริจาคไปมากกว่า 1,000 กล่อง หลังนับเงิน ประธานโครงการให้สมาชิกยกมือว่า เห็นด้วยหรือไม่ที่จะหัก 30% ของเงินบริจาคไว้กับกลุ่มแท็กซี่ ซึ่งตนก็คัดค้าน มองว่าไม่ถูกต้องเพราะเป็นเงินทำบุญ แต่ประธานก็อ้างว่า หลวงพ่อให้ เอาไว้เป็นค่าใช้จ่ายของโครงการ เช่น ค่ากล่อง ค่าทำสติกเกอร์ต่างๆ ตนเลยตัดสินใจคืนกล่องไป

หลังจากนั้น ประธานโครงการก็ไปประกาศหาสมาชิกต่อ ที่สถานีวิทยุคลื่นอื่นๆ และบอกต่อกันเหมือนแชร์ลูกโซ่ จนมีคนขับแท็กซี่เข้ามาเป็นสมาชิกจำนวนมากจากการชักชวนกันมา  ไม่นานก็พบว่า ประธานโครงการ ไปซื้อสวน ซื้อไร่ แล้วยังมีเงินมาสำหรับปล่อยกู้ให้กับสมาชิกแท็กซี่

ทั้งนี้ ตนไม่เคยทราบเลยว่า ยอดเงินบริจาคนั้น มีการนำไปถวายหลวงพ่ออย่างไร เอาเงินสดไปให้แล้วถ่ายรูป หรือเป็นการโอนเงินเข้าบัญชีวัด ซึ่งอยากจะให้ทางวัด  ประธานโครงการคนปัจจุบัน  รวมถึงสถานีวิทยุดังกล่าวออกมาชี้แจงถึงเรื่องนี้ให้ชัดเจน อีกทั้งตนยังเห็นว่า ยอดเงินที่สถานีวิทยุแจ้งออกอากาศเป็นยอดเงินหลังหัก 30% ไปแล้วด้วย แล้วบนกล่องบริจารก็มีโลโก้ของสถานีฯ และโลโก้ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งการมีโก้เหล่านี้ทำให้มีความน่าเชื่อถือ คนอยากบริจาคมากขึ้น จึงอยากให้ทุกฝ่ายชี้แจงถึงความโปร่งใสของโครงการนี้

เมื่อถามว่าการหักเงิน 30% ที่ทางประธานโครงการอ้างว่าหลวงพ่อให้นั้น หลวงพ่อได้บอกอย่างนั้นจริงๆ หรือแค่กล่าวอ้าง นายสุวรรณฉัตร บอกว่า ตอนแรกตนก็คิดว่าแค่อ้าง เพราะหลวงพ่อท่านคงไม่พูดแบบนี้ เพราะมันเป็นเงินทำบุญจากประชาชน แต่ช่วงหลังที่เริ่มเห็นหลวงพ่อขายของต่างๆ เลยคิดว่า มันเป็นธุรกิจจริงๆ นอกจากนี้ สังเกตเห็นด้วยว่า กลุ่มของประธานโครงการและสมาชิกแท็กซี่จะอยู่กันเป็นทีม มีการทำเสื้อกั๊ก และเวลาที่หลวงพ่อไปบิณฑบาตที่ต่างๆ กลุ่มเหล่านี้ก็จะตามไปประกบ ไปดูแล เหมือนเป็นจิตอาสา