“กกร.”จับตาเงื่อนไขเจรจาภาษีทรัมป์เหลือ 19% กระทบแค่ไหน จีดีพีปี 68 คาดขยายตัว 1.8-2.2%

กกร.ชี้ผลเจรจาภาษีทรัมป์ เป็นบวกเศรษฐกิจไทย คาดGDPปีนี้ โต1.8-2.2% ส่งออก2-3% แม้ครึ่งปีหลังจะยังต้องเผชิญปัจจัยเสี่ยงอีกมาก ด้านอุตสาหกรรมกังวลบางกลุ่ม Local Content ไม่ถึง 40% หนึ่งในเงื่อนไขทรัมป์บีบให้ต้องถึง 60%

“กกร.”จับตาเงื่อนไขเจรจาภาษีทรัมป์เหลือ 19% กระทบแค่ไหน จีดีพีปี 68 คาดขยายตัว 1.8-2.2% – Top News รายงาน

กกร.

เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2568 นายผยง ศรีวณิช ประธานกรรมการสมาคมธนาคารไทย เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน หรือ กกร. จากนั้นนายผยง พร้อมด้วยนายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย หรือ ส.อ.ท. และดร.พจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ร่วมแถลงข่าว

โดยนายผยง กล่าวว่า เศรษฐกิจโลกมีทิศทางดีขึ้น หลังสหรัฐประกาศข้อตกลงด้านภาษีกับหลายประเทศ อัตราภาษีศุลกากรส่วนใหญ่ปรับลดลงกว่าที่สหรัฐประกาศเมื่อเดือนเมษายน โดยเฉพาะสำหรับประเทศในเอเชียและอาเซียน ประมาณการเศรษฐกิจโลกปี 2568 โดย IMF ปรับเพิ่มเป็นเติบโต 3% จากเดิม 2.8% ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตที่อยู่ประมาณ 3.5% สะท้อนภาวะชะลอตัวจากผลของกำแพงภาษีสูง และความไม่ชัดเจนในรายละเอียดของการดำเนินการ โดยเฉพาะประเด็นที่เกี่ยวข้องกับภาษีสินค้า Transshipment และการกำหนดสัดส่วน Local Content ของแต่ละประเทศ ขณะที่ประเทศไทยต้องเร่งปรับตัวรับมือทั้งในระยะสั้น และการเปลี่ยนผ่านในระยะข้างหน้า อีกทั้งต้องเร่งสำรวจการใช้ Local Content เพื่อลดความเสี่ยงภาษี Transshipment รวมถึงบังคับใช้กฎหมายอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งในส่วนพิธีการศุลกากร และการตรวจสอบมาตรฐานสินค้าที่ขายในประเทศ

 

 

ข่าวที่น่าสนใจ

นายผยง กล่าวอีกว่า เศรษฐกิจไทยปี 68 มีแนวโน้มขยายตัวได้ที่ 1.8-2.2% ปรับเพิ่มขึ้นจากประมาณการเดิมที่ 1.5-2.0% ส่วนการส่งออกมีแนวโน้มขยายตัว 2-3% สูงกว่าประมาณการเดิมเช่นกัน โดยความสำเร็จจากการเจรจาการค้าส่งผลให้ไทยถูกเรียกเก็บภาษีที่ 19% แทน 36% ซึ่งยังต้องให้ความสำคัญกับรายละเอียดที่ต้องมีการเจรจากันต่อไป เบื้องต้นทำให้ไทยไม่เสียเปรียบประเทศเพื่อนบ้านซึ่งเป็น Worst Case Scenario อย่างไรก็ตามเศรษฐกิจในครึ่งปีหลังมีแนวโน้มชะลอตัว โดยการส่งออกแผ่วลงหลังหมดปัจจัยชั่วคราวจากการเร่งส่งออก การแข่งขันด้านราคาที่มากขึ้น ค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นรวมถึงปัญหาเศรษฐกิจนอกระบบ และกำลังซื้อของผู้บริโภคสหรัฐที่ลดลงจากเงินเฟ้อ ส่วนรายได้จากการท่องเที่ยวชะลอตามจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติโดยเฉพาะ Short Haul ที่ชะลอตัวรวมทั้งผลกระทบจากปัจจัยความขัดแย้งไทย-กัมพูชา อีกทั้งเศรษฐกิจไตรมาสสุดท้ายของปีและต้นปีหน้าอาจมีความผันผวนสูง โดยเฉพาะภาคส่งออกที่จะได้รับผลกระทบจากภาษีสหรัฐชัดเจน และการแข่งขันที่สูงขึ้นจากประเทศคู่แข่ง ซึ่งแตกต่างกันในแต่ละประเภทสินค้าและการจัดเก็บ Stock คงค้างที่ไม่เท่ากัน

ด้านนายเกรียงไกร กล่าวว่า หลังจากหารือกับ 47 กลุ่มอุตสาหกรรม ซึ่งพบว่ามี 17 กลุ่มอุตสาหกรรมที่ใช้สัดส่วนในประเทศ หรือ Local Content มากกว่า 40% เช่น อย่างกลุ่มไม้อัด หลังคา เกษตร อาหาร ใช้ Local Content สูงถึง 80% ขณะที่กลุ่มยานยนต์ กลุ่มอัญมณี 60% ส่วนกลุ่มที่น่าห่วงคือ กลุ่มยา เครื่องสำอาง ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ เหล็ก โรงกลั่น ปิโตรเลียม ซึ่งมี Local Content ยังต่ำอยู่ แต่แน่นอนว่าประเทศไทยต้องพัฒนาปรับตัว ที่สำคัญประเทศไทยได้เปรียบจากการมีอุตสาหกรรมต้นน้ำ กลางน้ำ ทำให้การจะใช้ Local Content สามารถทำได้ แต่ต้องใช้เวลา

ขณะที่นายพจน์ กล่าวว่า เรื่อง Local Content เป็นแค่เรื่องเดียวในเงื่อนไขที่เราได้ภาษี 19% กลับมา และตอนนี้เรายังต้องรอรายละเอียดจากทางสหรัฐ ว่าจะกำหนดทั้งเรื่อง Local Content และเรื่องการใช้ RVC เท่าไร ซึ่งยอมรับว่าถ้า 40%ทำได้ 50%พอทน 60%ยาก

 

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ข่าวล่าสุด

จบแล้วเวทีเจรจา GBC "บิ๊กเล็ก" เผย 2 ปท.ตกลงยึดมั่นหยุดยิง-ยั่วยุทางทหาร "กัมพูชา" ยังไม่รับเงื่อนไขร่วมไทยปราบสแกมเมอร์
ธอส. ออกมาตรการพักชำระหนี้นานสูงสุด 1 ปี ช่วยเหลือลูกค้าในพื้นที่ชายแดนไทย - กัมพูชา
"กัลฟ์" ตอกย้ำภารกิจดูแลสังคม ตั้งกองทุนมูลค่า 100 ล้าน ช่วยเหลือทหารบาดเจ็บ เสียชีวิต ปกป้องชายแดนไทย-กัมพูชา
MEA ครบรอบ 67 ปี “จากแสงแรก สู่แสงแห่งความยั่งยืน” (67th SPARK The Sustainable Power)
Food Works เปิดเวทีดึงศักยภาพ SMEs อุตสาหกรรมอาหารของไทย ค้นหาผู้ประกอบการยอดเยี่ยม คว้ารางวัล Food Works Champion มอบโอกาสเชื่อมโยงธุรกิจเติบโตต่อเนื่อง
ศาลจังหวัดฉะเชิงเทราจัดพิธีวางพวงมาลาเนื่องในวันรพี

ดู LIVE รายการ

เราใช้ คุ้กกี้ เพื่อให้ทุกคนได้ประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น​